รายงานระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับภาระหนี้สินจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของจีนอย่างหนัก

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกและภูมิภาคอื่น ๆ กำลัง “เผชิญกับคลื่นมหาศาลของภาระหนี้และดอกเบี้ย” ต่อประเทศจีน ภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568
รายงานการวิเคราะห์โดยสถาบันโลวี ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยในออสเตรเลีย ระบุว่าประเทศที่มีความเปราะบางที่สุด 75 ประเทศทั่วโลกต้องชำระหนี้ให้กับจีนเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 7.48 แสนล้านบาท (ประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน พ.ศ. 2568
สมาคมเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของธนาคารโลกได้ระบุประเทศที่มีความเสี่ยง ประเทศในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่อยู่ในรายชื่อของสมาคมเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ฟิจิ คิริบาส ลาว หมู่เกาะมาร์แชล มัลดีฟส์ สหพันธ์รัฐไมโครนีเซีย เมียนมา ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี ซามัว หมู่เกาะโซโลมอน ศรีลังกา ติมอร์เลสเต ตองงา ตูวาลู และวานูอาตู
ภายใต้โครงการให้กู้ยืมนี้ จีนได้ลงทุนอย่างรวดเร็วในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศกำลังพัฒนา เช่น ระบบรถไฟ ท่าเรือ และถนนในทศวรรษ 2010 (พ.ศ. 2553-2562) ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องชำระหนี้แล้ว ซึ่งสร้างแรงกดดันต่องบประมาณของรัฐบาล ในช่วงที่เหลือของทศวรรษนี้ จีนจะทำหน้าที่เป็นผู้เก็บหนี้มากกว่าผู้ให้กู้แก่ประเทศต่าง ๆ ตามรายงานของสถาบันโลวี
“แรงกดดันจากการให้กู้ยืมของประเทศจีน ประกอบกับการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ภาคเอกชนระดับนานาชาติที่เพิ่มขึ้น กำลังสร้างความตึงเครียดทางการเงินที่มหาศาลให้แก่เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ผลที่ตามมาคือ ความเสี่ยงของหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นและการขาดแคลนงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายในด้านสำคัญ เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา การลดความยากจน และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” รายงานดังกล่าวระบุ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเคยเตือนว่า การกู้ยืมจากจีนจำนวนมากเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ความสะดวกในการขอสินเชื่อทำให้ประเทศต่าง ๆ สามารถดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่บางครั้งเกินความจำเป็น ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าโครงการเหล่านั้นจะไม่สามารถฟื้นตัวจากการลงทุนได้
อินเดียปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโครงการของจีนและเตือนว่าเงินกู้จากจีนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์กับดักหนี้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการขยายเงินกู้จำนวนมากให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาโดยมีเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่การพึ่งพาทางการเงินและการยอมให้สิทธิ์ทางยุทธศาสตร์ ตามรายงานของสำนักข่าวยูโรเอเชียนไทมส์ นักวิเคราะห์ชี้ว่า จีนตั้งใจทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องแบกรับหนี้ที่ไม่ยั่งยืน เพื่อที่รัฐบาลจีนจะได้ใช้ประโยชน์ทางการเมืองและควบคุมทรัพย์สินสำคัญเมื่อประเทศผู้กู้เกิดการผิดนัดชำระหนี้
ศรีลังกาคือตัวอย่างที่ชัดเจน ประเทศนี้ได้กู้ยืมจากธนาคารของรัฐจีนอย่างหนักประมาณ 4.49 แสนล้านบาท (ประมาณ 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ระหว่าง พ.ศ. 2549 ถึง พ.ศ. 2565 เพื่อนำไปลงทุนในทางหลวง ท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ท่าเรือนานาชาติฮัมบันโตตา สนามบินนานาชาติมัตตาลาราชปักษะ และโลตัสทาวเวอร์ ซึ่งเป็นโครงสร้างด้านการสื่อสารและแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ศรีลังกาต้องแบกรับหนี้ดอกเบี้ยสูงและประสบปัญหาการล่าช้าในการดำเนินการที่ทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ยั่งยืน ศรีลังกาไม่สามารถชำระหนี้ท่าเรือฮัมบันโตตาได้ จึงได้มอบท่าเรือและที่ดิน 15,000 เอเคอร์ที่อยู่โดยรอบให้แก่บริษัทจีนเมอร์แชนท์พอร์ตโฮลดิงส์ ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว 99 ปี ซึ่งทำให้จีนควบคุมทรัพย์สินสำคัญทางทะเลใกล้กับเส้นทางเดินเรือหลักและเกิดความสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานทางการทหาร
ประเทศในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เช่น ซามัว ตองงา และวานูอาตู กำลังเผชิญกับหนี้จีนที่สูงและได้ร้องขอให้จีนขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ออสเตรเลียนบรอดคาสติงคอร์ปอเรชัน ซามัวมีหนี้อยู่ประมาณ 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.46 พันล้านบาท) หรือประมาณหนึ่งในสี่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หลังจากกู้ยืมมาเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่หลังจากเกิดการจลาจลใน พ.ศ. 2549
จีนอาจยินดีที่จะเลื่อนการชำระหนี้ แต่ไม่ยอมยกหนี้ให้ และรัฐบาลจีนไม่ค่อยแจกเงินช่วยเหลือเสียด้วย ตั้งแต่เริ่มโครงการให้กู้ยืมโครงสร้างพื้นฐานใน พ.ศ. 2556 จีนมีอัตราส่วนของเงินกู้ต่อเงินช่วยเหลือที่ 31 ต่อ 1 ตามข้อมูลของเอดเดตา ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยระดับโลกที่ตั้งอยู่ในวิทยาลัยวิลเลียมแอนด์แมรีในสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าการให้กู้ยืมจากจีนจะลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา แต่รายงานของสถาบันโลวีได้เน้นย้ำถึงเงินกู้ใหม่ขนาดใหญ่ที่มอบให้แก่หมู่เกาะโซโลมอนและประเทศที่ไม่อยู่ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เช่น บูร์กินาฟาโซ สาธารณรัฐโดมินิกัน ฮอนดูรัส และนิการากัว โดยทั้งหมดได้รับเงินกู้ภายในระยะเวลา 18 เดือนหลังจากที่ประเทศเหล่านี้เปลี่ยนการรับรองทางการทูตไปเป็นรัฐบาลจีนจากเดิมที่เป็นไต้หวัน ซึ่งเป็นเกาะที่มีการปกครองตนเองที่จีนขู่ว่าจะผนวกรวมโดยใช้กำลัง