ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ร่วมกันหารือเรื่องยุทธศาสตร์การป้องปราม

เซนทรี
เจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมประชุมกันเมื่อไม่นานมานี้ที่ฐานทัพอากาศบาร์คสเดล รัฐหลุยเซียนา เพื่อหารือในกรอบการเจรจาการป้องปรามอย่างครอบคลุมของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
การประชุมครั้งนี้ ซึ่งจัดโดยกองบัญชาการการโจมตีทั่วโลกของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 เปิดโอกาสให้ผู้นำทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์ สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค ท่าทีด้านกลาโหมของพันธมิตรญี่ปุ่นและสหรัฐฯ นโยบายนิวเคลียร์และการป้องกันขีปนาวุธ การควบคุมอาวุธ และการลดความเสี่ยง ตลอดจนเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันในด้านยุทธศาสตร์และขีดความสามารถของพันธมิตร คณะผู้แทนจากญี่ปุ่นประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
พล.อ.อ. โธมัส บูซซีแยร์ ผู้บัญชาการกองบัญชาการการโจมตีทั่วโลกของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนและพาชมเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 ภายในฐานทัพ กองบัญชาการการโจมตีทั่วโลกของกองทัพอากาศสหรัฐฯ รับผิดชอบการบริหารจัดการกองบินขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีปจำนวนสามกองบิน ได้แก่ กองบินเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ บี-52 บี-1 และ บี-2 รวมถึงรับผิดชอบการจัดการโครงการ บี-21 ไรเดอร์ และระบบบัญชาการ ควบคุม และสื่อสารด้านอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการและการบำรุงรักษาแก่หน่วยงานต่าง ๆ ภายในโครงการนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ
การประชุมหารือด้านการป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นเวทีสนทนาอย่างเป็นทางการระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ในความพยายามร่วมกันที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรที่มีมาอย่างยาวนาน ในย่างก้าวสำคัญครั้งหนึ่ง กองกำลังสหรัฐฯ ในญี่ปุ่นได้ประกาศในช่วงปลาย พ.ศ. 2567 ว่าจะปรับโครงสร้างเป็นศูนย์บัญชาการกองกำลังร่วมภายใน พ.ศ. 2568 การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากจีน เกาหลีเหนือ และรัสเซีย โดยการบูรณาการกองกำลังของสหรัฐฯ จากทุกขอบเขต ทั้งทางอากาศ ภาคพื้นดิน ทางทะเล อวกาศ และไซเบอร์ ภายใต้ศูนย์บัญชาการเดียวที่ตั้งอยู่ในญี่ปุ่น
“ญี่ปุ่นคือหุ้นส่วนที่ขาดไม่ได้ของเราในการป้องปรามการรุกรานทางทหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีน” นายพีต เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการเยือนกรุงโตเกียวในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ตามรายงานของสำนักข่าวดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส ศูนย์บัญชาการแห่งใหม่ “เพิ่มความพร้อมของเราในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต สนับสนุนปฏิบัติการของสหรัฐฯ และช่วยกองกำลังญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ปกป้องดินแดนของญี่ปุ่น” นายเฮกเซธกล่าว
ญี่ปุ่นยังแสวงหาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ด้วย ในการประชุมร่วมกับนายมาร์ก รุตเต้ เลขาธิการองค์การนาโต ณ กรุงโตเกียว เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 นายเก็น นากาทานิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ประกาศว่าญี่ปุ่นแสดงความสนใจในการเข้าร่วมการสนับสนุนยูเครนภายใต้กรอบความร่วมมือของพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ประกอบด้วยสมาชิก 32 ประเทศ การประชุมครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นได้เปิดสำนักงานคณะผู้แทนทางการทูตประจำนาโต ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้อนุมัติงบประมาณด้านกลาโหมประจำ พ.ศ. 2568 เป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.87 ล้านล้านบาท (ประมาณ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านกลาโหมระยะห้าปีภายใต้ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับ พ.ศ. 2565 ภายใน พ.ศ. 2570 งบประมาณด้านกลาโหมของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนการนำขีปนาวุธโทมาฮอว์กซึ่งผลิตในสหรัฐฯ มาใช้งานภายใน พ.ศ. 2568 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบบป้องกันการเผชิญหน้า” ซึ่งประกอบด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล เครือข่ายดาวเทียม และระบบไร้คนขับ ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส ญี่ปุ่นยังได้ประกาศเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ว่าจะพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลแบบนำวิถีความแม่นยำสูงภายในประเทศ เพื่อ “ป้องกันและกำจัดกองกำลังผู้รุกราน” ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น
เซนทรีเป็นนิตยสารทางการทหารระดับมืออาชีพที่จัดทำขึ้นโดยกองบัญชาการยุทธศาสตร์ สหรัฐฯ เพื่อเป็นพื้นที่แสดงความคิดเห็นสำหรับบุคลากรด้านความมั่นคงของประเทศ