ความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างอินโดนีเซียกับเวียดนามต่อต้านการขยายอำนาจทางทะเลของจีน

กัสดี ดา คอสตา
การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับเวียดนามสู่ระดับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมกำลังกลายเป็นพลังสำคัญในการต่อต้านการคุกคามทางทะเลของจีนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก โดยมีจุดเน้นที่การเสริมสร้างความร่วมมือด้านกลาโหมและการประสานงานทางทะเล ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนนี้เริ่มมีความเชื่อมโยงกับความพยายามเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ในการส่งเสริมกฎหมายระหว่างประเทศและต่อต้านการกระทำฝ่ายเดียวในทะเลจีนใต้ที่ยังคงเป็นพื้นที่พิพาท
การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของความร่วมมือดังกล่าวซึ่งมีการลงนามอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 สะท้อนถึงการตอบสนองอย่างมีเป้าหมายต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค อันเกิดจากข้อเรียกร้องดินแดนอันกว้างขวางของจีน ซึ่งขัดแย้งกับคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศใน พ.ศ. 2559 ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล “การยกระดับทางการทูตครั้งนี้ไม่ใช่เพียงพิธีกรรมเพื่อเป็นอนุสรณ์เท่านั้น แต่เป็นถ้อยแถลงทางการเมืองที่มีนัยทางยุทธศาสตร์” น.อ. มาร์เซลลัส ฮาเคง จายาวิบาวา นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมจากศูนย์ยุทธศาสตร์เลมฮานนัสในกรุงจาการ์ตา กล่าวกับ ฟอรัม โดยระบุว่าจีนได้พยายามใช้อำนาจบีบบังคับในเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการตอบโต้ร่วมกันอย่างประสานสอดคล้อง
การจัดระเบียบใหม่นี้เกิดขึ้นจากการละเมิดกฎหมายทางทะเลระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องของเรือจีน เช่น การทำประมงผิดกฎหมาย การสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน และกิจกรรมของกองกำลังพลเรือนทางทะเลในเขตเศรษฐกิจพิเศษของอินโดนีเซียและเวียดนาม เพื่อตอบโต้ ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการลาดตระเวนทางทะเลร่วมกัน ขยายการฝึกอบรมทางทหาร และจัดการฝึกซ้อมร่วมระหว่างกองกำลังรักษาชายฝั่งเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเทคนิคและแสดงอำนาจอธิปไตยทางทะเล
“การลาดตระเวนทางทะเลร่วมกันและการฝึกทางทหารที่ขยายตัว … คือรูปธรรมของความกังวลด้านความมั่นคงร่วมกัน อันเป็นผลจากพลวัตของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในทะเลจีนใต้” น.อ. มาร์เซลลัสกล่าว โดยระบุว่าปฏิบัติการดังกล่าวยังเป็นมาตรการสร้างความเชื่อมั่นซึ่งช่วยให้กระบวนการสกัดกั้นเรือมีความสอดคล้องกัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานด้านความมั่นคงทางทะเล
การฝึกระหว่างกองกำลังรักษาชายฝั่งของอินโดนีเซียกับเวียดนามในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งเน้นการค้นหาและช่วยเหลือ การป้องกันอัคคีภัย และการรับมือเหตุฉุกเฉินทางทะเล ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปฏิบัติการร่วมที่พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หลังการพบปะหารือกับนายซาฟรี ซัมโซดิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย ณ กรุงจาการ์ตาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 พล.อ. ฝ่าน แวน เกียง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม ได้เรียกร้องให้มีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเล เพื่อ “แบ่งปันข้อมูลและทำงานร่วมกันในการรับมือกับปัญหาทางทะเลที่เกิดขึ้นใหม่” ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมเวียดนาม
ความร่วมมือด้านกลาโหมทวิภาคียังสนับสนุนกรอบความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่สอดคล้องกับสหรัฐฯ โดยทั้งอินโดนีเซียและเวียดนามเข้าร่วมการฝึกทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ เช่น การฝึกซูเปอร์การูดาชิลด์ และมีส่วนร่วมในการเจรจาด้านความมั่นคงและการเสริมสร้างขีดความสามารถร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ทั้งสองประเทศจะไม่ได้เป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ แต่การดำเนินงานของทั้งสองฝ่ายกลับมีแนวโน้มสนับสนุนเป้าหมายของสหรัฐฯ ในการคุ้มครองเสรีภาพในการเดินเรือและธำรงไว้ซึ่งบรรทัดฐานระหว่างประเทศ
“รูปแบบความร่วมมือ … ได้รับผลกระทบจากการอ้างสิทธิ์ที่กว้างขวางขึ้นของจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งละเมิดกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ” นางปุจิ อัสทูติ จากกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย กล่าวกับ ฟอรัม โดยเน้นว่าความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การศึกษาทางทหาร การวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ และการดำเนินการร่วมกันต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมายและการรุกล้ำทางทะเล ซึ่งหลายกรณีเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของจีนในน่านน้ำที่เป็นข้อพิพาท
โครงการร่วมเหล่านี้ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของชาติ โดยมีบทบาทของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน เป็นศูนย์กลาง รัฐบาลเวียดนามและรัฐบาลอินโดนีเซียแสดงความมุ่งมั่นต่อระบบพหุภาคีผ่านเวทีต่าง ๆ เช่น การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา โดยเวียดนามสนับสนุนบทบาทของอินโดนีเซียในฐานะประธานร่วมของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจาด้านเวชศาสตร์ทหาร ร่วมกับสหรัฐฯ
น.อ. มาร์เซลลัสเน้นย้ำว่า การทำงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ไม่ได้หมายถึงการแบ่งฝ่ายในลักษณะเป็นกลุ่ม แต่เป็นความพยายามร่วมกันของประเทศมหาอำนาจระดับกลางในอาเซียนเพื่อการธำรงไว้ซึ่งกฎหมายทางทะเลระหว่างประเทศ “ความร่วมมือระหว่างกองกำลังรักษาชายฝั่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลอย่างเป็นรูปธรรม … รวมถึงการป้องกันและดำเนินคดีกับการทำประมงผิดกฎหมาย การลักลอบขนของ และการละเมิดเขตแดนทางทะเล” น.อ. มาร์เซลลัสกล่าว
ความร่วมมือดังกล่าวส่งสัญญาณไปยังประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ โดย น.อ. มาร์เซลลัสระบุว่า “การเสริมสร้างความร่วมมือด้านกลาโหมและทางทะเลนี้ยังสอดคล้องทางอ้อมกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”
กัสดี ดา คอสตา เป็นผู้สื่อข่าวสมทบของ ฟอรัม ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย