ไทยและเวียดนามกระชับความร่วมมือด้านกลาโหมเพื่อรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่มีร่วมกัน

ฟีลิกซ์ คิม
การประชุมหารือนโยบายกลาโหมไทยและเวียดนาม ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่เติบโตจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนในยุคสงครามเย็นไปสู่ความร่วมมือในปัจจุบัน
ผู้ร่วมเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ พล.อ. สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหมไทย และ พล.ท. ฮอง ซวน เชียง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านความมั่นคงระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ การหารือเน้นย้ำถึงประเด็นร่วมที่สำคัญ เช่น ความมั่นคงทางทะเล ภัยคุกคามทางไซเบอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการทวีความรุนแรงขึ้นของภัยคุกคามทางทหารจากภายนอกต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้นำทั้งสองคนยืนยันความสำคัญของความสัมพันธ์ด้านกลาโหมในการส่งเสริมเสถียรภาพของภูมิภาค และบทบาทศูนย์กลางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ซึ่งไทยและเวียดนามเป็นสมาชิกอยู่
หนึ่งประเด็นเร่งด่วนที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาหารือ คือ ความมั่นคงในทะเลจีนใต้ ซึ่งเวียดนามเรียกว่าทะเลตะวันออก โดยทั้งสองประเทศต่างสนับสนุนเสรีภาพในการเดินเรือและการยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ การที่รัฐบาลจีนเดินหน้าผลักดันการอ้างสิทธิ์เหนืออาณาเขตในทะเลซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากร ทั้งที่ปราศจากหลักฐานและขัดต่อกฎหมาย ส่งผลให้ความตึงเครียดในกลุ่มประเทศชายฝั่งทะเลทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
กระทรวงกลาโหมเวียดนามระบุหลังการประชุมว่า “เวียดนามมีจุดยืนที่ชัดเจนมาโดยตลอดว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรยึดมั่นในหลักปฏิบัติและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล พ.ศ. 2525” พร้อมเรียกร้องให้มี “หลักจรรยาบรรณในทะเลตะวันออกที่มีเนื้อหาเป็นรูปธรรมและบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
รัฐบาลไทยและเวียดนามได้กระชับความร่วมมือทางทะเล ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของไทยและกองกำลังรักษาชายฝั่งเวียดนาม ได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการลาดตระเวนร่วม การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง และการค้นหาและช่วยเหลือร่วมกัน เพื่อรับมือกับปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การลักลอบค้ายาเสพติด และการกระทำอันเป็นโจรสลัด ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของไทย
ในช่วงต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 กองทัพเรือของไทยและเวียดนามได้เสร็จสิ้นการลาดตระเวนร่วมประจำปีครั้งที่ 51 บริเวณชายแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ ตามรายงานของวอยซ์ออฟเวียดนาม ซึ่งเป็นสำนักข่าวของรัฐบาล
ทั้งสองประเทศยังเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเจาะข้อมูลและการสอดแนมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ โดยต่างก็ร่วมมือกันผ่านกลไกของอาเซียนในการเสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกันไซเบอร์ และปกป้องระบบทหารที่มีความอ่อนไหว
ในขณะเดียวกัน อาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง และการก่อการร้ายข้ามพรมแดน ได้ผลักดันให้รัฐบาลไทยและเวียดนามเร่งปรับปรุงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสานยุทธศาสตร์ในการบังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ไทยและเวียดนามได้ขยายความร่วมมือผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น องค์การตำรวจสากล และให้คำมั่นว่าจะไม่ยินยอมให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้ดินแดนของตนเพื่อกระทำการคุกคามอีกฝ่าย
พล.ท. เชียง เน้นย้ำหลักยุทธศาสตร์สำคัญของเวียดนาม ซึ่งรวมถึงนโยบายต่างประเทศที่ยึดมั่นใน “ความเป็นอิสระ การพึ่งพาตนเอง สันติภาพ ความร่วมมือ การพัฒนา พหุภาคี และการกระจายความสัมพันธ์” ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหม
การประชุมครั้งนี้ยังขยายความร่วมมือด้านการศึกษา การฝึกอบรม และกิจกรรมทางทหารร่วม โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนายทหาร เพิ่มการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูง และกระชับความร่วมมือระหว่างเหล่าทัพให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กระทรวงกลาโหมเวียดนามระบุ
นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย ยังได้ยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่จะกระชับความร่วมมือทวิภาคีในด้านสำคัญต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงทางไซเบอร์และอาชญากรรมข้ามพรมแดน ตามรายงานของวอยซ์ออฟเวียดนาม
ฟีลิกซ์ คิม เป็นผู้สื่อข่าวสมทบของ ฟอรัม รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้