อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ด้านอุตสาหกรรมกลาโหมและมุ่งพัฒนาด้านการบินและอวกาศ

กัสดี ดา คอสตา
อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ได้ยืนยันถึงความร่วมมือด้านกลาโหมที่มีมาอย่างยาวนาน โดยให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นกับการขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายดอนนี เออร์มาวัน ทอฟันโท รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย และนายซอก จงกึน ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการจัดซื้อด้านกลาโหมของเกาหลีใต้ ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้จำกัดเพียงการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ยังครอบคลุมถึงการพัฒนา การฝึกอบรม และการเสริมสร้างขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมร่วมกัน
การประชุมของผู้นำทั้งสองเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ณ กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น “ผมเดินทางมาเยือนกรุงจาการ์ตาพร้อมกับความรับผิดชอบในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้และอินโดนีเซีย” นายซอกกล่าว “เรามองว่าอินโดนีเซียคือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ”
หัวใจหลักของความร่วมมือครั้งนี้คือโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ เคเอฟ-21/ไอเอฟเอ็กซ์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2553 และเพิ่งมีการปรับเปลี่ยนแผนการด้านการจัดหางบประมาณและการถ่ายทอดเทคโนโลยี “ความร่วมมือระหว่างอินโดนีเซียกับเกาหลีใต้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การซื้อขายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในอุตสาหกรรมการบินอีกด้วย” นายทอฟันโทกล่าว พร้อมชื่นชมสมรรถนะของอากาศยานที่เกาหลีใต้ผลิตซึ่งกองทัพอากาศอินโดนีเซียใช้งานอยู่ เช่น เครื่องบินสำหรับฝึกซ้อม ที-50 และ เคที-1
อินโดนีเซียลงทุนในโครงการดังกล่าวประมาณ 1.36 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงจากประมาณการเดิมที่ประมาณ 3.65 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะโคเรียเฮรัลด์ โดยโครงการนี้จะรวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การออกแบบอากาศยาน การผลิตชิ้นส่วน ไปจนถึงการทดสอบบินและการบำรุงรักษา ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกระดับศักยภาพด้านอวกาศของอินโดนีเซียในระยะยาว ตามรายงานของนายเบนิ ซูกาดิส นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมของอินโดนีเซีย
“หนึ่งในการพัฒนาที่สำคัญของโครงการ เคเอฟ-21/ไอเอฟเอ็กซ์ คือการที่เกาหลีใต้ตอบรับข้อเสนอของอินโดนีเซียในการปรับเงื่อนไขทางการเงิน” นายซูกาดิสกล่าวกับ ฟอรัม “การปรับเงื่อนไขดังกล่าวสะท้อนถึงความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของโครงการ”
บริษัท พีที ดิร์กันตารา ของอินโดนีเซียมีกำหนดจะมุ่งเน้นการสร้างต้นแบบของเครื่องบินขับไล่ใน พ.ศ. 2568 และเริ่มการผลิตใน พ.ศ. 2569 นางปุจิ อัสทูติ นักวิเคราะห์ประจำกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย กล่าวกับ ฟอรัม
รัฐบาลอินโดนีเซียและรัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้ขยายความร่วมมือในด้านการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ ระบบขีปนาวุธ และเทคโนโลยีเรดาร์ โดยนายซูกาดิสกล่าวถึงความร่วมมือระหว่างบริษัทของเกาหลีใต้และอินโดนีเซียในการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับและจรวดนำวิถี นอกจากนี้ บริษัทด้านกลาโหมของเกาหลีใต้ ฮันฮวา และบริษัท พีที เลน ของอินโดนีเซียยังได้ร่วมมือกันพัฒนาเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศและทางทะเล รวมทั้งสำรวจการประยุกต์ใช้ดาวเทียมร่วมกัน
การเสริมสร้างขีดความสามารถถือเป็นแกนกลางของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ขณะพยายามสร้างอุตสาหกรรมกลาโหมภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น รัฐบาลอินโดนีเซียก็ยังเดินหน้าสู่ความพึ่งพาตนเองทางการทหารผ่านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและโครงการด้านการศึกษาด้วยเช่นกัน
ความร่วมมือด้านการฝึกอบรมยังเปิดโอกาสให้นักบินอินโดนีเซียมีส่วนร่วมในการทดสอบเครื่องบิน เคเอฟ-21/ไอเอฟเอ็กซ์ ซึ่งช่วยยกระดับความพร้อมในการปฏิบัติการเพื่อรองรับการจัดหาเครื่องบินสูงสุดถึง 40 ลำในอนาคต นายซูกาดิสกล่าว
กัสดี ดา คอสตา เป็นผู้สื่อข่าวสมทบของ ฟอรัม ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย