ทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกันในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

ศูนย์วัฒนธรรมและภาษากองทัพอากาศสหรัฐฯ
การสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความมั่นคงแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การสร้างและรักษาความสัมพันธ์เหล่านี้ในภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างอินโดแปซิฟิก ซึ่งมีอยู่เกือบ 40 ประเทศ มีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก มีภาษาถึง 3,000 ภาษา และเป็นที่ตั้งของกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเจ็ดกองทัพ ย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทาย
การสร้างความร่วมมือเพื่อยับยั้งการรุกรานจำเป็นต้องไม่เพียงแต่เข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายของภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ยังต้องสามารถสื่อสารด้วยภาษาของแต่ละประเทศในภูมิภาคได้ การฝึกอบรมด้านวัฒนธรรมและภาษาสำหรับบุคลากรทางทหารจึงเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติภารกิจและการดำเนินการทางการทูต
ศูนย์วัฒนธรรมและภาษากองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศแมกซ์เวลล์ รัฐแอละแบมา เป็นหน่วยงานที่บริหารโครงการอาสาสมัครสำหรับทหารกองประจำการและทหารชั้นประทวนของกองทัพอากาศและกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ที่เรียกว่า โครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษา โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนากำลังพลให้มีความสามารถด้านภาษาและวัฒนธรรมต่างชาติ ผู้เรียนในโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษาจะมีบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือ ความสามารถในการทำงานร่วมกัน และเพิ่มพูนความเข้าใจต่อผู้ที่อาจเป็นฝ่ายศัตรู
“เพื่อเอาชนะกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม ผลลัพธ์จากการปฏิบัติการร่วมของเราจะต้องมากกว่าผลรวมของส่วนต่าง ๆ” นายฮาวเวิร์ด วอร์ด ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมและภาษากองทัพอากาศ กล่าว ทักษะด้านภาษา ความเชี่ยวชาญทางภูมิภาค และวัฒนธรรม เมื่อผนวกกับชาติพันธมิตรและหุ้นส่วน จะช่วยพัฒนา “กำลังพลที่พร้อมรบ ซึ่งสามารถรับมือกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ”
ร.ต. แชนซ์ อิตาเลียโน แห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษาเมื่อเก้าปีก่อนขณะที่มียศจ่าอากาศเอก โดยเริ่มต้นด้วยคะแนนความสามารถภาษาญี่ปุ่นในระดับใช้งานได้อย่างจำกัด เขาได้ใช้หลักสูตรออนไลน์ของศูนย์วัฒนธรรมและภาษากองทัพอากาศเพื่อพัฒนาทักษะจนสามารถนำไปใช้ในภารกิจจริง ร.ต. อิตาเลียโนเคยเข้าร่วมกิจกรรมการฝึกภาษาอย่างเข้มข้นในกรุงโตเกียว และเคยแถลงข่าวต่อสื่อญี่ปุ่นระหว่างอยู่บนเครื่องบิน
“การฝึกอบรมด้านภาษา ความเชี่ยวชาญทางภูมิภาค และวัฒนธรรม ช่วยให้ผมลดอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างพันธมิตร” ร.ต. อิตาเลียโนกล่าว “ภารกิจทางทหารต้องอาศัยการประสานงานและการสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา การฝึกอบรมด้านภาษา ความเชี่ยวชาญทางภูมิภาค และวัฒนธรรมนี้ช่วยให้ผมต่อยอดทักษะเดิม และพัฒนาให้เป็นเครื่องมือในการสร้างพันธมิตรผ่านความเข้าใจ ความเคารพ และมิตรภาพที่มีร่วมกัน”
การฝึกอบรมทักษะด้านภาษา ความเชี่ยวชาญทางภูมิภาค และวัฒนธรรม ยังช่วยให้กำลังพลของกองทัพสหรัฐฯ คุ้นเคยกับ “วิธีคิดและแนวทางการแก้ปัญหาของพันธมิตร ซึ่งทำให้เราสามารถตีความสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ร.ต. อิตาเลียโนกล่าว “ในทุกภารกิจที่ผมมีส่วนร่วมและได้นำทักษะด้านภาษา ความเชี่ยวชาญทางภูมิภาค และวัฒนธรรมไปใช้ ผมได้รับคำขอบคุณอย่างมากจากผลงานของเรา ความสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้นกับพันธมิตรมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างพันธมิตรและความร่วมมือในภูมิภาคนี้” ร.ต. อิตาเลียโนกล่าว
น.ต. เมลานี เดลกาโด จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็ได้พัฒนาทักษะภาษาญี่ปุ่นผ่านโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษา และเป็นหนึ่งในนักเรียน 15 คนที่เข้าร่วมภารกิจทวิภาคี ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้บรรทุกอุปกรณ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลงในดาวเทียม 2 ดวงที่โคจรเหนือภูมิภาคอินโดแปซิฟิก
“บทบาทของผมคือเป็นสะพานเชื่อมด้านภาษาและผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม” น.ต. เดลกาโดกล่าว “ผมทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างวิศวกรของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น”
พ.อ.ท. แรมชานด์ ฟรานซิสโก ซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์โดยกำเนิดและพูดภาษาตากาล็อกได้ ได้เดินทางกลับไปยังประเทศบ้านเกิดใน พ.ศ. 2565 ในฐานะนักเรียนโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษา เพื่อสนับสนุนการฝึกกะมันดัก ซึ่งเป็นการฝึกประจำปีที่จัดขึ้นโดยนาวิกโยธินฟิลิปปินส์และนาวิกโยธินสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านกลาโหมและภารกิจด้านมนุษยธรรม

ภาพจาก: ส.ท. เควิน เอ็น. ไซเดินสติกเกอร์/นาวิกโยธินสหรัฐฯ
“แม้ในคำอธิบายหน้าที่ของเราจะระบุว่าเป็นนักแปลหรือล่าม แต่ก็ไม่มีคู่มือชัดเจนว่าเราต้องรับผิดชอบอะไรในแต่ละวัน” พ.อ.ท. ฟรานซิสโกกล่าว “อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองสามวันแรกของการมีปฏิสัมพันธ์กันก่อนเริ่มการฝึก นาวิกโยธินของเราก็เริ่มสังเกตว่าเราสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น คนฟิลิปปินส์ให้การต้อนรับเราอย่างอบอุ่น และให้ความร่วมมือกับเราอย่างดีเยี่ยม … ท้ายที่สุด เราก็รับบทบาทเป็นทั้งเจ้าหน้าที่โลจิสติกส์ ผู้นำทาง ผู้ให้คำปรึกษา ผู้ฝึกสอน มัคคุเทศก์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพิธีกรในงานกีฬา”
น.ต. จูเวลิน เด ลา ครูซ จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ผู้เป็นนักวิจัยด้านสุขภาพระหว่างประเทศ ประจำสำนักงานส่งเสริมสุขภาพโลกของกองบัญชาการกองทัพอากาศประจำภาคพื้นแปซิฟิก เป็นนักเรียนโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษา ซึ่งสามารถพูดได้ทั้งภาษาตากาล็อกและภาษาเกาหลี เธอเกิดในฟิลิปปินส์ และเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมในการสนับสนุนข้อกำหนดของภารกิจระดับโลก
“ฉันเคยมีโอกาสสนับสนุนกิจกรรมในภูมิภาคนี้ และความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาเดียวกันก็ช่วยสร้างความไว้วางใจและพัฒนาจุดประสงค์ร่วมกัน โดยเฉพาะในบทบาทปัจจุบันของฉัน” น.ต. เด ลา ครูซ กล่าว “การใช้ภาษาร่วมกันเปรียบเสมือนสิ่งเชื่อมโยงระหว่างกัน การฝึกอบรมที่ฉันได้รับผ่านโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษา ไม่เพียงเพิ่มความเข้าใจในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการสนทนาเท่านั้น แต่ยังช่วยปลูกฝังความเคารพและความเข้าใจในวัฒนธรรมที่หลากหลาย
“ฉันเข้าใจมากขึ้นว่าภาษาเป็นสิ่งที่มีหลายแง่มุม และตระหนักว่าภาษาได้รับอิทธิพลจากบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่อยู่รอบตัว” น.ต. เด ลา ครูซ กล่าว
ร.ต. อิตาเลียโนกล่าวว่าทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการยับยั้งและการป้องกัน
“ในฐานะนักเรียนโครงการทหารอากาศที่มีทักษะด้านภาษา เราเป็นกำลังเสริมที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการสื่อสารและความสามารถในการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเข้าใจในปัจจัยทางวัฒนธรรมที่อาจส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้าม” ร.ต. อิตาเลียโนกล่าว “การเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของทั้งพันธมิตรและศัตรูช่วยสร้างความร่วมมือ การเจรจา และการยับยั้งให้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการลดโอกาสในการเกิดความขัดแย้งทางทหาร”