การแพร่ขยายอาวุธเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

การลาดตระเวนของเครื่องบินทิ้งระเบิดของจีนและรัสเซียปลุกความกังวลเกี่ยวกับพันธกรณีนิวเคลียร์ของจีนให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง

แบรนดอน เจ. บาบิน

ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 จีนและรัสเซียได้ทำการลาดตระเวนทางอากาศด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกันเป็นครั้งที่เก้าในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ภารกิจการบินครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ โดยนี่เป็นครั้งแรกที่จีนใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด เอช-6เอ็น ซึ่งสามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้ และนี่ยังเป็นหลักฐานล่าสุดที่สะท้อนถึงความไม่สอดคล้องในพันธกรณีนิวเคลียร์ของจีน

แม้ว่ารัฐบาลจีนจะไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจด้านนิวเคลียร์ของ เอช-6เอ็น แต่ก็มีหลักฐานยืนยันถึงบทบาทของเครื่องบินทิ้งระเบิดลำนี้ ใน พ.ศ. 2561 รายงานประจำปีของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาเรื่อง “อำนาจทางทหารของจีน” ระบุว่า กองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจนิวเคลียร์ หนึ่งปีถัดมา เครื่องบิน เอช-6เอ็น ได้รับการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก โดยเผยให้เห็นว่าบริเวณใต้ลำตัวเครื่องบินได้รับการดัดแปลงให้รองรับขีปนาวุธทิ้งตัวชนิดยิงจากอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐฯ ระบุว่าสามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้

ใน พ.ศ. 2563 งานวิจัยของสถาบันการศึกษาด้านการบินและอวกาศจีนแห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ระบุว่าฐานทัพแห่งเดียวของเครื่องบิน เอช-6เอ็น ของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนอยู่ที่เขตเน่ยเซียง ซึ่งฐานทัพแห่งนี้มีความเชื่อมโยงกับศูนย์อาวุธนิวเคลียร์ของจีน และมีโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะที่สามารถรองรับการปฏิบัติการแจ้งเตือนนิวเคลียร์ ซึ่งไม่พบในสนามบินของเครื่องบินทิ้งระเบิด เอช-6 รุ่นอื่น ๆ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รายงานว่า หน่วยเครื่องบินทิ้งระเบิด เอช-6เอ็น เริ่มปฏิบัติการอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2563 สิ่งที่น่าสังเกตคือ แม้ว่าเครื่องบินทิ้งระเบิด เอช-6 รุ่นอื่นจะประจำการอยู่ใกล้พื้นที่ปฏิบัติการลาดตระเวนของเครื่องบินทิ้งระเบิดของจีนและรัสเซียมากกว่า แต่รัฐบาลจีนกลับเลือกส่งเครื่องบิน เอช-6 จากหน่วยเดียวที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้ในภารกิจลาดตระเวนเมื่อวันที่ 29-30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นเจตนาแสดงแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ผ่านภารกิจลาดตระเวนครั้งนี้ ซึ่งต่างจากภารกิจอื่น ๆ ที่ผ่านมา

แทบจะเป็นที่แน่นอนว่า ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ผู้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มายาวนานต่างตกเป็นเป้าหมายของภารกิจลาดตระเวนร่วมของเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ และทั้งสองประเทศก็ได้ส่งเครื่องบินขึ้นบินเพื่อตอบโต้ แม้ว่ารัฐบาลจีนจะอ้างว่าภารกิจดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าหมายต่อประเทศใดก็ตาม การประเมินนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานสองประการ ประการแรก ไม่เพียงแต่ภารกิจลาดตระเวนร่วมนี้ได้ดำเนินการภายในเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญคือเครื่องบินยังได้บินผ่านเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วย ความแตกต่างนี้มีความสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลจีนมักอ้างสิทธิ์เกินขอบเขตที่อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเลกำหนดไว้ และยังอ้างว่าประเทศอื่นไม่มีสิทธิ์ดำเนินกิจกรรมทางทหารในเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศอื่น และยังระบุว่า “การบินผ่านโดยเครื่องบินทหารในเชิงยั่วยุ” ของสหรัฐฯ เหนือเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีนควรถูกสั่งห้ามหรือจำกัด เพราะรัฐบาลจีนถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็น “การใช้กำลังหรือการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง” แม้ว่าปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นในน่านฟ้าสากลและอยู่นอกอาณาเขตของจีนก็ตาม ตามรายงานของศูนย์วิจัยแรนด์ คอร์ปอเรชัน

สมุดปกขาวกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นประจำ พ.ศ. 2567 ใช้ถ้อยคำในทำนองเดียวกัน โดยอธิบายว่าการลาดตระเวนของเครื่องบินทิ้งระเบิดของจีนและรัสเซีย “มีเจตนาอย่างชัดเจนในการแสดงแสนยานุภาพต่อญี่ปุ่น และเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างร้ายแรง” อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนกลับเพิกเฉยต่อความกังวลของรัฐบาลญี่ปุ่น และคาดหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมผ่อนปรน

ประการที่สอง ภารกิจลาดตระเวนมีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะมุ่งเป้าไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เนื่องจากสอดคล้องกับรูปแบบที่รัฐบาลจีนใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารเป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณความไม่พอใจต่อประเทศต่าง ๆ การศึกษาวิจัยของสถาบันการศึกษาด้านการบินและอวกาศจีนเกี่ยวกับการรุกล้ำของจีนเข้าสู่เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของญี่ปุ่น พบว่าความถี่ของเหตุการณ์เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นตกต่ำใน พ.ศ. 2548 และต่อมาในช่วงที่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับหมู่เกาะเซ็งกะกุ ซึ่งเป็นหมู่เกาะไร้คนอาศัยในทะเลจีนตะวันออกที่อยู่ภายใต้การบริหารของญี่ปุ่น แต่รัฐบาลจีนกลับอ้างสิทธิ์

ใน พ.ศ. 2559 สำนักงานข้อมูลข่าวสารคณะรัฐมนตรีของจีนได้ประกาศแผนการฝึกจำลองระบบป้องกันขีปนาวุธระหว่างจีนและรัสเซีย ซึ่งต่อมาใช้ชื่อว่า “ความมั่นคงทางอวกาศ พ.ศ. 2560” โดยมีความเชื่อมโยงกับแผนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในบริเวณพิกัดตำแหน่งสูงในเกาหลีใต้ใน พ.ศ. 2560 แม้ว่ากระทรวงกลาโหมจีนจะยังคงอ้างว่าการฝึกร่วมดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่ประเทศใดก็ตาม สี่ปีถัดมา รัฐบาลจีนได้ส่งเครื่องบินลำเลียง 16 ลำเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษของมาเลเซียในรูปขบวนเชิงยุทธวิธีแบบลำดับ เครื่องบินเหล่านั้นได้เปลี่ยนทิศทางกลับหลังจากบินผ่านสันดอนเซาต์ลูโคเนีย ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ ต่อมาใน พ.ศ. 2565 จีนและรัสเซียได้ดำเนินภารกิจลาดตระเวนร่วมด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดในทะเลญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการประชุมของการเจรจาความมั่นคงจตุภาคี หรือ ควอด ซึ่งประกอบด้วยออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ รัฐบาลจีนมองว่ากลุ่มควอดเป็นกลุ่มการเมืองที่ต่อต้านจีนซึ่งมีเป้าหมายท้าทายความทะเยอทะยานเชิงยุทธศาสตร์ของตน และเป็นอีกครั้งที่รัฐบาลจีนและรัฐบาลรัสเซียยังคงอ้างว่าภารกิจลาดตระเวนดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าไปยังประเทศใด

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 รัฐบาลจีนและรัฐบาลรัสเซียได้ดำเนินภารกิจลาดตระเวนด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดร่วมกันเป็นครั้งแรกภายในเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของรัฐอะแลสกา ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการฝึกซ้อมริมออฟเดอะแปซิฟิกระดับพหุภาคีของกองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิก ซึ่งจัดขึ้นในบริเวณและรอบหมู่เกาะฮาวาย ทั้งจีนและรัสเซียยังคงอ้างว่าภารกิจดังกล่าวไม่ได้มีเป้าหมายที่ประเทศใด และไม่มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระดับภูมิภาคหรือระหว่างประเทศแต่อย่างใด เครื่องบินทิ้งระเบิดของจีนและรัสเซียถูกติดตามและสกัดกั้นโดยเครื่องบินขับไล่ของแคนาดาและสหรัฐฯ จากกองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศอเมริกาเหนือ ขณะบินอยู่เหนือน่านฟ้าริมชายฝั่งรัฐอะแลสกา

กระทรวงกลาโหมของจีนใช้ถ้อยคำลักษณะเดียวกันในการอธิบายภารกิจการบินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ตาม บทความบนเว็บไซต์ข่าวภาษาอังกฤษของคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของจีนได้แสดงให้เห็นว่าภารกิจลาดตระเวนอาจเชื่อมโยงกับกรณีที่มีรายงานว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการตั้งฐานขีปนาวุธพิสัยกลางในญี่ปุ่น ปัจจัยอื่นที่อาจเป็นแรงจูงใจให้เกิดภารกิจลาดตระเวนครั้งนี้ ได้แก่ การฝึกร่วมระหว่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 หรือการสาธิตทางอากาศสามฝ่ายที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-1บี ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ บินร่วมกับเครื่องบินขับไล่ของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อตอบโต้การทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีปของเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

การเคลื่อนไหวจากความร่วมมือพันธมิตรทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถด้านอาวุธนิวเคลียร์

การให้คำรับรองต่อสาธารณะของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาวุธนิวเคลียร์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ ดังเช่นภารกิจการบินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 แต่ในความเป็นจริง การปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวยังคงก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความจริงใจในพันธกรณีของรัฐบาลจีน หัวใจสำคัญของนโยบายการประกาศด้านอาวุธนิวเคลียร์ของจีนคือคำมั่นว่าจะไม่ชิงโจมตีก่อน ซึ่งรัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน และให้คำมั่นโดยไม่มีเงื่อนไขว่าจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ หรือเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

อย่างไรก็ตาม ภารกิจลาดตระเวนด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนถูกตั้งคำถามถึงการปฏิบัติตามคำมั่นว่าจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน การประเมินของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นระบุว่า อาวุธนิวเคลียร์ของรัฐบาลจีนน่าจะมีเป้าหมายที่ศูนย์กลางประชากรของพันธมิตรสหรัฐฯ ที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ รวมถึงอดีตรองผู้บัญชาการกองกำลังขีปนาวุธของจีน รัฐบาลจีนได้ดำเนินการทดสอบนิวเคลียร์สองครั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2512 ซึ่งมีการระเบิดหัวรบนิวเคลียร์สองลูกภายในช่วงเวลาห่างกันเพียงไม่กี่วัน โดยมีจุดมุ่งหมายส่วนหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณข่มขู่ไปยังสหภาพโซเวียตในระหว่างที่เกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนจีนและโซเวียต แม้ว่ารัฐบาลรัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนก็ตาม ในขณะนั้น จีนหวั่นเกรงว่าจะถูกโซเวียตโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ก่อน

เอกสารจากกองกำลังขีปนาวุธของจีนบ่งชี้ว่าเกณฑ์การใช้อาวุธนิวเคลียร์อาจลดระดับลงในช่วงเกิดความขัดแย้ง เพื่อใช้ควบคุมการยกระดับปฏิบัติการทางทหารแบบทั่วไปของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งขัดแย้งกับคำมั่นของรัฐบาลจีนตามนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน ใน พ.ศ. 2565 มีรายงานว่าผู้นำทางทหารของจีนได้อภิปรายเกี่ยวกับการปรับแก้นโยบายการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน โดยอิงจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชน ด้วยการที่รัฐบาลจีนมองว่าการข่มขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของรัฐบาลรัสเซียประสบความสำเร็จในการจำกัดการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน การศึกษาดังกล่าวจึงเสนอว่ารัฐบาลจีนควรปรับเปลี่ยนนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนอย่างเปิดเผย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งการแทรกแซงของกองกำลังแบบดั้งเดิมของสหรัฐฯ ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับไต้หวันที่ปกครองตนเอง ซึ่งรัฐบาลจีนอ้างสิทธิ์ในดินแดนแห่งนี้และขู่ว่าจะผนวกรวมโดยใช้กำลัง

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ปฏิเสธคำแนะนำของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศดังกล่าว โดยมีแนวโน้มว่าเป็นเพราะความกังวลต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลกหากรัฐบาลจีนละทิ้งนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนที่ยึดถือมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ดังที่เจ้าหน้าที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนรายหนึ่งระบุ จีนได้มี “แนวทางปฏิบัติทางเลือก” ในช่วงสงครามอยู่แล้ว ซึ่งอาจหมายถึงเรื่องที่นโยบายการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนไม่ได้ห้ามรัฐบาลจีนจากการข่มขู่ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ดังเช่นที่จีนเคยทำใน พ.ศ. 2512

นอกจากจะไม่ปฏิบัติตามคำมั่นการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนในยามสงครามแล้ว จีนยังดูเหมือนจะประสบปัญหาในการรักษาพันธกรณีนิวเคลียร์ในช่วงเวลาสันติอีกด้วย ภารกิจการบินของเครื่องบินทิ้งระเบิดร่วมกับรัสเซียในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เป็นหลักฐานที่ชัดเจนของเรื่องนี้ ภารกิจลาดตระเวนร่วมยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนที่มีต่อสิ่งที่ตนเรียกว่าความร่วมมือ “ไร้ขีดจำกัด” กับรัฐบาลรัสเซีย แทนที่จะเป็นต่อประชาคมโลก ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 นายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ให้คำมั่นร่วมกันว่า “มหาอำนาจนิวเคลียร์ทุกประเทศต้องไม่ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ไว้นอกอาณาเขตประเทศของตน และต้องถอดถอนอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดที่อยู่ในต่างประเทศกลับคืน” หนึ่งปีถัดมา มีรายงานว่ารัสเซียได้วางกำลังอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในแนวหน้าของเบลารุสซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน แล้วจีนตอบสนองอย่างไร คำตอบคือ เพิกเฉยต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง และหันไปเข้าร่วมกับรัสเซียในการคุกคามภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือผ่านภารกิจลาดตระเวนร่วมด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดติดอาวุธนิวเคลียร์ร่วมเป็นครั้งแรก

แบรนดอน เจ. บาบิน เป็นนักวิเคราะห์อาวุโสประจำกลุ่มมุ่งเน้นยุทธศาสตร์จีนแห่งกองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิกในรัฐฮาวาย

แสดงความคิดเห็นที่นี่

ความเป็นส่วนตัวของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา หากคุณเลือกที่จะระบุที่อยู่อีเมลของคุณ เจ้าหน้าที่ของ ฟอรัม จะใช้เพื่อติดต่อกับคุณเท่านั้น เราจะไม่เปิดเผยหรือเผยแพร่ที่อยู่อีเมลของคุณ เฉพาะชื่อและเว็บไซต์ของคุณเท่านั้นที่จะปรากฏในความคิดเห็นของคุณ ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

Back to top button