ทรัพยากรส่วนรวมของโลกโอเชียเนีย

ออสเตรเลียเพิ่มงบประมาณกลาโหมเพื่อเร่งเดินหน้าโครงการด้านการทหาร

รอยเตอร์

ออสเตรเลียจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมอีก 2.14 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 628 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางทหารของประเทศ รวมถึงการผลิตอาวุธนำวิถี การก่อสร้างฐานเรือดำน้ำ และการขยายโครงการเรือฟริเกต นายริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568

นายมาร์ลส์เสนอให้เพิ่มงบประมาณกลาโหมเป็นมูลค่า 2.26 แสนล้านบาท (ประมาณ 6.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มงบประมาณรวม 1.05 ล้านล้านบาท (ประมาณ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในระยะเวลา 10 ปี โดยนายมาร์ลส์ระบุว่านี่เป็นการเพิ่มงบประมาณกลาโหมครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

นายริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ได้ประกาศว่ารัฐบาลออสเตรเลียได้จัดซื้อระบบเครื่องยิงจรวดปืนใหญ่หลายลำกล้องอัตตาจรสูงที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกาจำนวนสองระบบ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 “วันนี้ เรารับมอบระบบเครื่องยิงจรวดปืนใหญ่หลายลำกล้องอัตตาจรสูง 2 คันแรกจากทั้งหมด 42 คัน ซึ่งเราได้ประกาศจัดซื้อไปเมื่อไม่ถึงสองปีที่ผ่านมา” นายมาร์ลส์กล่าว “และภายในเวลาไม่ถึงสองปี เราก็มีระบบอาวุธ 2 คันแรกนี้แล้ว สิ่งสำคัญของการมีระบบเครื่องยิงจรวดปืนใหญ่หลายลำกล้องอัตตาจรสูงคือ การที่ระบบอาวุธนี้นำพากองทัพบกออสเตรเลียเข้าสู่ยุค … ของขีปนาวุธพิสัยไกลอย่างแท้จริง เราจะสามารถยิงขีปนาวุธได้ไม่ใช่แค่ในระยะเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น แต่เป็นระยะหลายร้อยกิโลเมตร ความคล่องตัวทำให้เรามีความสามารถในการแสดงอำนาจ และสิ่งที่เราพยายามสร้างมาโดยตลอดจากผลของการทบทวนยุทธศาสตร์กลาโหมก่อนหน้านี้และจากยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศในตอนนี้ ก็คือกองทัพบกที่คล่องตัวมากขึ้น กองทัพบกที่สามารถเคลื่อนกำลังในภูมิภาคของเรา และนั่นจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปพร้อมกันได้ และนี่คือตัวอย่างของสิ่งนั้น แน่นอนว่าในแง่ของตำแหน่งการยิง ตำแหน่งนั้นจะไม่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ที่มีถนนเท่านั้น”
วิดีโอจาก: กระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย/รอยเตอร์

นายมาร์ลส์กล่าวที่งานแสดงการบินนานาชาติออสเตรเลีย ณ เมืองวิกตอเรียว่า งบประมาณจำนวน 2.14 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 628 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี้ได้รับการเลื่อนการจัดสรรงบประมาณมาให้เร็วขึ้น “เนื่องจากความจำเป็นด้านขีดความสามารถและการพัฒนาของออสเตรเลีย”

“นี่จะทำให้เราสามารถเตรียมความพร้อมให้กับฐานทัพเรือ เอชเอ็มเอเอส สเตอร์ลิง และพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศเฮนเดอร์สัน เพื่อรองรับการจัดตั้งกองกำลังหมุนเวียนเรือดำน้ำฝั่งตะวันตก และจะทำให้เราดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในการจัดตั้งองค์กรสำหรับการผลิตอาวุธนำวิถีและวัตถุระเบิด” นายมาร์ลส์กล่าว

ตั้งแต่ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์จากสหราชอาณาจักร 1 ลำและจากสหรัฐอเมริกาสูงสุด 4 ลำ จะหมุนเวียนเข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ เอชเอ็มเอเอส สเตอร์ลิง ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ซึ่งเป็นฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ความร่วมมือด้านความมั่นคงไตรภาคีระหว่างพันธมิตร ซึ่งรู้จักกันในชื่ออูกัส

นายมาร์ลส์กล่าวว่า การเลื่อนการจัดสรรงบประมาณมาให้เร็วขึ้นนี้ยังจะช่วยเร่งให้สามารถเพิ่มเรือฟริเกตเข้าประจำการในกองทัพเรือออสเตรเลียภายในทศวรรษนี้ได้เร็วขึ้น

ในช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ออสเตรเลียระบุว่า ได้ดำเนินการรับมอบพาหนะระบบเครื่องยิงจรวดปืนใหญ่หลายลำกล้องอัตตาจรสูง 2 คันแรกจากทั้งหมด 42 คัน ซึ่งผลิตโดยบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน ของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่การผลิตจรวดหลายลำกล้องแบบนำวิถีก็มีกำหนดเริ่มต้นขึ้นในออสเตรเลียภายใน พ.ศ. 2568

นายมาร์ลส์กล่าวว่า ออสเตรเลียมีเป้าหมายที่จะจัดหาขีดความสามารถในการโจมตีพิสัยไกล และระบบเครื่องยิงจรวดปืนใหญ่หลายลำกล้องอัตตาจรสูงที่ได้รับออกแบบโดยสหรัฐฯ นั้นช่วยให้กองทัพมีความคล่องตัวในการแสดงอำนาจในภูมิภาค ระบบที่ติดตั้งบนรถบรรทุกนี้สามารถขนย้ายได้ทั้งทางเรือและทางอากาศ โดยใช้เครื่องบิน ซี-17 และซี-130 ของกองทัพอากาศออสเตรเลีย “จึงสามารถส่งกำลังได้อย่างสะดวกทั่วทั้งภูมิภาค” เพื่อปฏิบัติภารกิจตามแนวชายฝั่ง พล.จ. นิก วิลสัน กล่าว

นายแพ็ต คอนรอย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวว่าออสเตรเลียจะรับมอบขีปนาวุธโจมตีแม่นยำเฉพาะจุดที่มีพิสัยยิง 500 กิโลเมตรภายใน พ.ศ. 2568 เพื่อใช้งานร่วมกับระบบเครื่องยิงจรวดปืนใหญ่หลายลำกล้องอัตตาจรสูง

ขณะเดียวกัน กองกำลังในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกประเทศอื่น ๆ ก็เร่งเสริมแสนยานุภาพให้กับคลังแสงของตนเช่นกัน เช่น ไต้หวันประกาศเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ว่า งบประมาณกลาโหมจะเพิ่มขึ้นเป็นเกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ จากระดับเดิมที่ร้อยละ 2.45 ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดหาอาวุธส่วนใหญ่ให้แก่เกาะไต้หวันที่ปกครองตนเองแห่งนี้

แสดงความคิดเห็นที่นี่

ความเป็นส่วนตัวของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา หากคุณเลือกที่จะระบุที่อยู่อีเมลของคุณ เจ้าหน้าที่ของ ฟอรัม จะใช้เพื่อติดต่อกับคุณเท่านั้น เราจะไม่เปิดเผยหรือเผยแพร่ที่อยู่อีเมลของคุณ เฉพาะชื่อและเว็บไซต์ของคุณเท่านั้นที่จะปรากฏในความคิดเห็นของคุณ ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

Back to top button