รายงานระบุว่า กองเรือประมงของจีนบังคับใช้แรงงานจากเกาหลีเหนือและอาจละเมิดมาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติ

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
กองเรือประมงที่ติดธงชาติจีน ซึ่งเป็นเรือที่ออกห่างจากชายฝั่ง บังคับใช้แรงงานจากเกาหลีเหนือมาหลายปีในการปฏิบัติการประมงในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอาจละเมิดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่อรัฐบาลเกาหลีเหนือ ตามรายงานฉบับใหม่
มูลนิธิเพื่อความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมในกรุงลอนดอนได้สัมภาษณ์ลูกเรือจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์จำนวน 19 คนที่ทำงานร่วมกับแรงงานเกาหลีเหนือ รายงานการสืบสวนเรื่อง “ถูกขังอยู่กลางทะเล: การเปิดเผยการบังคับใช้แรงงานจากเกาหลีเหนือในกองเรือตกปลาทูน่าของจีนในมหาสมุทรอินเดีย” พบว่ามีเรืออย่างน้อย 12 ลำใช้แรงงานเกาหลีเหนือระหว่าง พ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ. 2567 โดยบางลำมีการย้ายลูกเรือระหว่างเรือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
“ดูเหมือนว่า กัปตันเรือเหล่านี้พยายามปกปิดการมีอยู่ของชาวเกาหลีเหนือบนเรือ โดยการซ่อนพวกเขาที่ท่าเรือหรือย้ายพวกเขาไปยังเรือพี่น้องในขณะที่อยู่กลางทะเล ซึ่งบ่งชี้ว่ากัปตันเรือและอาจรวมถึงเจ้าของเรือทราบว่าการใช้แรงงานเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้าม” ตามรายงานที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568
มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติห้ามการจ้างงานชาวเกาหลีเหนือหรือการทำธุรกรรมทางการเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาลเกาหลีเหนือ เนื่องจากมีความกังวลว่าการชำระเงินเหล่านี้อาจนำไปสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์และอาวุธจรวดที่ผิดกฎหมายของนายคิม จองอึน ผู้นำเผด็จการ อย่างไรก็ตาม จีนเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับแรงงานที่นายคิมส่งออกจากเกาหลีเหนือ และเชื่อว่าจีนมีแรงงานเกาหลีเหนือมากถึง 100,000 คน รวมทั้งในโรงงานแปรรูปอาหารทะเล ตามรายงานของมูลนิธิ
รัฐบาลจีนมีกองเรือประมงนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเรือที่ติดธงชาติจีนเป็นผู้กระทำความผิดรายสำคัญในการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ตามรายงานในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ของหน่วยจัดการทรัพยากรทางน้ำโพไซดอนและโครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมคิดเป็นการจับปลามากถึง 14 ล้านตันต่อปี และก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่คาดการณ์ได้สูงถึง 1.68 ล้านล้านบาทต่อปี (ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามข้อมูลจากนักวิจัย
อีกทั้งจีนยังเป็นผู้บังคับใช้แรงงานบนเรือประมงอันดับหนึ่งของโลก ตามการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ของแนวร่วมความโปร่งใสทางการเงินในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งพบว่าร้อยละ 25 ของเรือประมงพาณิชย์ที่ต้องสงสัยว่ามีการบังคับใช้แรงงานเป็นเรือสัญชาติจีน
“การประมงที่ผิดกฎหมายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนพบเห็นได้เกือบทุกครั้งบนเรือที่อยู่นอกชายฝั่งของจีน” นายสตีฟ เทรนท์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวในข่าวประชาสัมพันธ์
ลูกเรือจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้เล่าเกี่ยวกับการถูกใช้แรงงานอย่างรุนแรง ทั้งการละเมิดทางคำพูดและทางร่างกาย การบังคับทำงานล่วงเวลา การหลอกลวงเกี่ยวกับค่าแรง และการแยกตัวออกจากกันที่กลางทะเล ตามรายงานของมูลนิธิ ในบางกรณี ชาวเกาหลีเหนือถูกบังคับให้ทำงานนานถึง 10 ปีที่กลางทะเลโดยไม่ได้ขึ้นฝั่ง
“เรื่องนี้ถือเป็นการบังคับใช้แรงงานในระดับเกินกว่าการละเมิดที่พบเห็นในอุตสาหกรรมการประมงระดับโลกซึ่งมีการละเมิดอย่างแพร่หลาย” มูลนิธิระบุ
ลูกเรือชาวอินโดนีเซียที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่า ชาวเกาหลีเหนือบอกพวกเขาว่ามีการส่งค่าจ้างส่งตรงไปยังรัฐบาลของนายคิม ลูกเรือเกาหลีเหนือบอกว่าพวกเขาทำงานบนเรือประมงของจีนเพื่อหลบหนีการเกณฑ์ทหาร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนในกรุงลอนดอน ชาวเกาหลีเหนือกล่าวว่าพวกเขาต้องเลือกระหว่างการทำงานในสวนปลูกพืชหรือในรัฐวิสาหกิจ หรือทำงานบนเรือประมงของจีนลูกเรือชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่สืบสวนของมูลนิธิว่าชาวเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์กับพวกเขาเพราะพวกเขามีศัตรูร่วมกัน
“เราทำงานร่วมกันได้เพราะเราอยู่ข้างเดียวกัน” เขากล่าว “เราไม่อยากถูกชาวจีนกดขี่”