ฟิลิปปินส์เสริมความแข็งแกร่งการป้องกันทางไซเบอร์ด้วยการร่วมมือกับญี่ปุ่น สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
องค์กรต่าง ๆ ในกองทัพฟิลิปปินส์ หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาสังคมต่างร่วมกันเสริมสร้างขีดความสามารถและความพร้อมรับมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของฟิลิปปินส์ โครงการริเริ่มเหล่านี้ผสมผสานกับความร่วมมือจากนานาชาติเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2566 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ตรวจพบการโจมตีทางไซเบอร์ที่เชื่อมโยงไปถึงสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่กองกำลังรักษาชายฝั่งฟิลิปปินส์ ทำเนียบประธานาธิบดี และกระทรวงสิ่งแวดล้อมและเกษตรกรรม ตามรายงานของเอบีเอส-ซีบีเอ็น บริษัทสื่อของฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดที่กล่าวถึงข้อมูลของรัฐบาลและทหารที่ถูกขโมยไป มีความเกี่ยวข้องกับการโจมตีก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ แฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันได้ ตามรายงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฟิลิปปินส์
กองทัพฟิลิปปินส์เล็งเห็นถึงความสำคัญของความมั่นคงทางไซเบอร์ในการปกป้องดินแดน เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ นักวิเคราะห์กล่าว กองบัญชาการไซเบอร์และกองบัญชาการข่าวกรองแห่งใหม่ของกองทัพฟิลิปปินส์ แสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ของกองทัพต่อภัยคุกคามในโลกยุคปัจจุบัน
“นอกจากนี้ กองทัพฟิลิปปินส์ยังได้บูรณาการไซเบอร์เข้ากับหลักการและแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพ” นายเชอร์วิน โอน่า นักวิจัยระหว่างประเทศจากสถาบันวิจัยด้านกลาโหมและความมั่นคงไต้หวัน กล่าวกับหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ “ดังนั้น ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า เราจะได้เห็นความก้าวหน้าที่สำคัญในขีดความสามารถด้านการป้องกันทางไซเบอร์ของกองทัพฟิลิปปินส์”
หลังจากเกิดความกังวลเกี่ยวกับการเจาะระบบในช่วงที่ผ่านมา พ.อ. มาร์กาเรธ ปาดิลลา โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์ กล่าวว่า หน่วยงานภาครัฐได้รับคำสั่งให้เสริมความแข็งแกร่งในระบบการป้องกันทางดิจิทัล
“ในแง่ของความพยายามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของเรา ตามที่คุณได้เห็นในระหว่างการประชุมการบังคับบัญชาของเราเมื่อไม่นานมานี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างการป้องกันทางไซเบอร์และความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ” พ.อ. ปาดิลลากล่าว ตามรายงานของหนังสือพิมพ์มะนิลาสแตนดาร์ด
พ.อ. ปาดิลลาได้กล่าวถึงความร่วมมือของกองทัพฟิลิปปินส์กับพันธมิตรและหุ้นส่วน รวมถึงการบูรณาการด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในการฝึกซ้อมทางทหารระดับพหุภาคี เช่น การฝึกบาลิกาตัน ที่ฟิลิปปินส์และสหรัฐอเมริกาจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
รัฐบาลฟิลิปปินส์และรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรกันมายาวนาน ได้ลงนามในแนวทางร่วมกันเมื่อ พ.ศ. 2566 เพื่อเสริมสร้างการป้องกันทางไซเบอร์และเพิ่มความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลและเสริมสร้างขีดความสามารถร่วมกัน
ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ ได้ร่วมกันพัฒนาเครือข่ายการป้องกันทางไซเบอร์ นอกจากนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ยังได้เข้าร่วมโครงการริเริ่มระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ร่วมกับประเทศต่าง ๆ กว่า 60 ประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา สหรัฐฯ วานูอาตู และเวียดนาม
ความก้าวหน้าดังกล่าว “ทำให้ฟิลิปปินส์แข็งแกร่งกว่าจีน โดยสามารถใช้ประโยชน์จากการฝึกอบรมและขีดความสามารถทางไซเบอร์ ข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวนของพันธมิตร เพื่อปกป้องความเป็นเอกภาพของดินแดน” นางจูลี เชอร์นอฟ ฮวาง นักวิจัยแห่งศูนย์ซูฟาน ซึ่งเป็นกสถาบันวิจัยด้านนโยบายต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ เขียน
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการปกป้องโลกไซเบอร์ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมถึงการลงทุนในชุมชนด้วย
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 มูลนิธิเอเชียและองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัวโครงการมูลค่า 10.41 ล้านบาท (ประมาณ 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนองค์กรสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์ในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตและการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ประเทศหุ้นส่วนจะจัดการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการความเสี่ยง การประเมินการรักษาความปลอดภัย และการนำมาตรการด้านความมั่นคงทางไซเบอร์มาปรับใช้ ตามรายงานขององค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา
“ความพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความมั่นใจให้ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยสามารถปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญของพวกเขาได้อย่างต่อเนื่องโดยปราศจากความหวาดกลัวต่อการแทรกแซงทางดิจิทัล” นางรีเบกกา ยูแบงก์ส ผู้อำนวยการรักษาการขององค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาประจำฟิลิปปินส์ กล่าว “โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา ในการเสริมสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัยและเปิดกว้างสำหรับภาคประชาสังคม”