จีนอนุมัติสร้างเขื่อนพลังงานน้ำขนาดใหญ่ข้ามช่องเขาหิมาลัย

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
สาธารณรัฐประชาชนจีนได้อนุมัติแผนการสร้างเขื่อนพลังงานน้ำที่คาดว่าจะใหญ่ที่สุดในโลกบนแม่น้ำยาร์ลุงซางโปตอนล่าง แม้จะมีความกังวลถึงผลกระทบต่อชุมชนปลายน้ำและระบบนิเวศที่เปราะบางในอินเดียและบังกลาเทศ
ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่าเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นพื้นที่วางแผนสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเมดอกหลายขั้นตอนนั้น มีแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้เทือกเขา ทำให้พื้นที่นี้มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวและดินถล่ม ซึ่งโครงการนี้อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง “กิจกรรมทางแผ่นดินไหวที่รุนแรงและเกิดขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับการกระจุกตัวของการก่อสร้างเขื่อนบนที่ราบสูงทิเบต อาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรง” ตามรายงานของศูนย์วิจัยไชน่าวอเตอร์ริสก์ในฮ่องกง
สื่อของรัฐจีนรายงานถึงการอนุมัติเขื่อนดังกล่าวในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างขนาดมหึมาที่เสนอใน พ.ศ. 2563 รวมถึงกำหนดการก่อสร้างยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
เขื่อนที่คาดว่าจะใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 4.34 ล้านล้านบาท (ประมาณ 1.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะข้ามหุบเขาที่ลึกและยาวที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในพื้นที่ทิเบตที่จีนควบคุม โดยคาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 300,000 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี มากกว่าพลังงานที่ผลิตโดยเขื่อนสามผาที่แม่น้ำแยงซีตอนกลางของจีนถึงสามเท่า ซึ่งปัจจุบันเป็นเขื่อนพลังงานน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จีนยืนยันว่าเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งและอีกหลายสิบแห่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากแหล่งพลังงานต่าง ๆ เช่น ถ่านหิน และช่วยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2603
โครงการเมด็อกบนแม่น้ำที่มีระดับความสูงที่สุดในโลกนี้เผชิญกับความท้าทายอย่างมหาศาล โดยแม่น้ำยาร์ลุงซางโปมีจุดที่ลดระดับลงถึง 17,000 ฟุตในบางพื้นที่ ตามรายงานของเดอะวอชิงตันโพสต์ เพาเวอร์คอนสตรักชันคอร์ป ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีน มีแผนที่จะสร้างโครงสร้างสูง 50 เมตร
แม่น้ำนี้มีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งทางตะวันตกของทิเบต ไหลผ่านเทือกเขาหิมาลัย และกลายเป็นแม่น้ำพรหมบุตรเมื่อเข้าสู่รัฐอรุณาจัลประเทศและรัฐอัสสัมในอินเดีย จากนั้นจึงไหลลงสู่บังกลาเทศในชื่อแม่น้ำจามูนา น้ำจากแม่น้ำนี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชุมชน โดยเฉพาะเกษตรกรและชาวประมง และมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศธรรมชาติ ความเป็นไปได้ที่เขื่อนขนาดใหญ่ของจีนในพื้นที่ต้นน้ำจะส่งผลกระทบต่อการไหลของแม่น้ำทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะในอินเดีย
รัฐบาลอินเดียและกลุ่มสิทธิมนุษยชนทิเบตได้ตั้งข้อสังเกตว่า นอกจากกำหนดการก่อสร้างที่ยังไม่มีความชัดเจน จีนยังไม่ได้ระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเขื่อน หรือวิธีที่วิศวกรจะสร้างเขื่อนในหุบเขาสูงชันของแม่น้ำยาร์ลุงซางโป อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงประวัติการสร้างเขื่อนของจีนที่ทำให้ชุมชนต้องย้ายถิ่นฐาน ทำลายสิ่งแวดล้อม และก่อให้เกิดภัยแล้งและอุทกภัย
“ด้วยการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำข้ามพรมแดน จีนจะมีความสามารถในการควบคุมการไหลของน้ำ และอาจใช้ทรัพยากรน้ำเป็นอาวุธในการจัดการความสัมพันธ์กับอินเดีย” นายราหุล มิศรา รองศาสตราจารย์จากศูนย์ศึกษาภูมิภาคอินโดแปซิฟิกแห่งมหาวิทยาลัยชวาหะร์ลาลเนห์รูในนิวเดลีและนักวิจัยอาวุโสแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในประเทศไทย กล่าว
“ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้น จีนอาจจำกัดการไหลของน้ำไปสู่อินเดีย ซึ่งอาจทำให้ภัยแล้งรุนแรงขึ้น หรือปล่อยน้ำส่วนเกินจนก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ปลายน้ำ” นายมิศราเขียนในหนังสือพิมพ์ไทเปไทมส์ เมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2568
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศอินเดียได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเขื่อนที่เสนอให้สร้างไปยังรัฐบาลจีน “มีการเรียกร้องให้จีนคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศปลายน้ำของแม่น้ำพรหมบุตร และรับรองว่าจะไม่ได้รับความเสียหายจากกิจกรรมในพื้นที่ต้นน้ำ” นายแรนดีร์ ใจสวาล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 “เราจะติดตามสถานการณ์และดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเรา”