อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้างเรื่องเด่นโอเชียเนีย

ความมั่นคง ของหมู่เกาะ

เหล่าประเทศในบลูแปซิฟิกล้วนมีบทบาทสำคัญต่อภูมิภาคที่เสรีและเปิดกว้าง

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม

ปาปัวนิวกินีเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการได้รับเอกราชจากออสเตรเลียในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568 อาคารต่าง ๆ จะประดับด้วยสีประจำชาติ ได้แก่ แดง ดำ และทอง พร้อมทั้งคาดว่าจะมีพิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา ขบวนพาเหรด การแข่งขันกีฬา และเทศกาลวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยดนตรี การเต้นรำ และการแต่งกายตามประเพณี

การซ้อมเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2566 เมื่อฝ่ายบริหารงานบุคคลของปาปัวนิวกินีได้ร้องขอให้หน่วยงานรัฐบาลใช้การเฉลิมฉลองครบรอบ 48 ปีเป็นโอกาสในการ “กำหนดทิศทางสำหรับสองปีข้างหน้า” ตามรายงานข่าว ผู้ที่เข้าร่วมในงานเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีอาจรวมถึงสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประมุขของระบอบกษัตริย์ในปาปัวนิวกินี และได้รับเชิญจากนายเจมส์ มาราเป นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินีให้เป็นประธานในพิธีต่าง ๆ สหราชอาณาจักรได้เป็นเจ้าอาณานิคมของปาปัวใน พ.ศ. 2427 และในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้โอนการบริหารไปให้แก่ออสเตรเลีย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ออสเตรเลียได้รวมปาปัวและนิวกินีเข้าด้วยกันภายใต้การบริหารเดียว

ปาปัวนิวกินีเป็นหนึ่งในประเทศขนาดใหญ่ที่สุดในบลูแปซิฟิก และเป็นหมู่เกาะที่อุดมไปด้วยทรัพยากร ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่สำคัญกลางภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ปาปัวนิวกินีเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ แต่เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในแปซิฟิก ปาปัวนิวกินีต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ และข้อเสนอจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาพร้อมกับสินเชื่อที่มีความเสี่ยง

ธนาคารโลกรายงานว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหมู่เกาะทั้ง 12 แห่งคาดว่าจะชะลอตัวใน พ.ศ. 2567 และ 2568 เนื่องจากผลจากการฟื้นตัวหลังภาวะการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในด้านการท่องเที่ยว การบริโภคในครัวเรือน และการส่งเงินกลับบ้านของแรงงานต่างชาติเริ่มลดลง ประเทศเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ประเทศที่พึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศมากที่สุดในโลก” ตามที่แปซิฟิก

ฟอรัม สถาบันวิจัยจากสหรัฐฯ ระบุ นอกจากนี้ พวกเขายังเผชิญกับความต้องการที่เร่งด่วนในด้านการศึกษา สาธารณสุข และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย ความท้าทายเหล่านี้อาจทำให้ประเทศกำลังพัฒนาเปิดรับการบีบบังคับและการทูตด้านหนี้สินจากจีน เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้

สมาชิกของชุมชนปาปัวจัดพิธีต้อนรับนายแอนโธนี อัลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 สำนักงานนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียผ่านทางดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส

“ทั้งภูมิภาคแปซิฟิกกำลังเผชิญกับแคมเปญหลายด้านของจีนที่มุ่งสู่การเป็นอำนาจหลักในภูมิภาค และการตอบโต้จากกลุ่มประเทศที่ร่วมมือกันต่อต้านจีน” นางแพทริเซีย โอไบรอัน นักวิเคราะห์และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียศึกษาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์และภาควิชากิจการแปซิฟิกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และนายดูเวอรี เฮนาโอ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปาปัวนิวกินี เขียนในบทความสำหรับนิตยสารเดอะ ดิโพลแมต เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567

“ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่เรากำลังเผชิญคือความพยายามของจีนที่มีทั้งการบีบบังคับและความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้นในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกและระบบระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน” นายสิทธารถ โมฮันดัส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายเอเชียตะวันออกในขณะนั้น กล่าวต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 จีน “พยายามท้าทายการเป็นพันธมิตรและความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นของตน รวมถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจ เพื่อบีบบังคับและคุกคามผลประโยชน์ของประเทศเพื่อนบ้าน”

ประเทศในบลูแปซิฟิกมีขนาดตั้งแต่เกาะนาอูรูที่มีพื้นที่เพียง 21 ตารางกิโลเมตร ไปจนถึงปาปัวนิวกินีที่มีพื้นที่ถึง 462,000 ตารางกิโลเมตร ประเทศเหล่านี้เป็นสมาชิกของการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มีสมาชิก 18 ประเทศ รวมทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วย ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ได้แก่ หมู่เกาะคุก สหพันธรัฐไมโครนีเซีย ฟิจิ เฟรนช์พอลินีเชีย คิริบาตี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวแคลิโดเนีย
นีวเว ปาเลา ซามัว หมู่เกาะโซโลมอน ตองงา ตูวาลู และวานูอาตู

สำหรับกลุ่มประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคแปซิฟิก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ใหญ่ที่สุด” ตามแผนบลูแปซิฟิกของการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก แผนดังกล่าวได้กำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ในการสร้างภูมิภาคที่สงบสุข ปลอดภัย และมั่นคง โดยยึดมั่นในหลักการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชน ชุมชน และประเทศต่าง ๆ สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังเน้นการตอบสนองต่อความท้าทายด้านความมั่นคงผ่านการประสานงานร่วมกันของประเทศในบลูแปซิฟิก ยุทธศาสตร์ดังกล่าวมุ่งเน้นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบจากภัยพิบัติในปัจจุบันและอนาคต เช่น สภาพอากาศสุดขั้ว ไต้ฝุ่น ภัยแล้ง น้ำท่วม การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และปรากฏการณ์ทะเลกรด นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์นี้ยังมุ่งเน้นการประสานงานในการตอบสนองด้านมนุษยธรรมต่อภัยพิบัติ

สหรัฐฯ ได้ยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศในบลูแปซิฟิกในช่วงต้น พ.ศ. 2565 ผ่านการประกาศยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกฉบับแรก ซึ่งเน้นการขยายภารกิจทางการทูต รวมถึงการจัดตั้งองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาในฟิจิ การแต่งตั้งตัวแทนประจำการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก และการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือ ซึ่งสนับสนุนความมั่นคงทางทะเล และส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ผู้นำของประเทศในบลูแปซิฟิกได้รวมตัวกันในการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกกับสหรัฐ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

การมีส่วนร่วมต่าง ๆ มีตั้งแต่การส่ง ทีมรักบี้จากสถาบันนาวิกโยธินสหรัฐฯ ไปจัดการแข่งขันและโครงการสำหรับเยาวชนในฟิจิ ซามัว และตองงา ไปจนถึงการมอบความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจมูลค่า 2.25 แสนล้านบาท (ประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นระยะเวลา 20 ปี ให้กับหมู่เกาะมาร์แชลล์ ไมโครนีเซีย และปาเลา

เจ้าหน้าที่จากกรมประมงวานูอาตู (ด้านซ้าย) กำลังพูดคุยกับลูกเรือของเรือกองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ ฮาเรียนท์ เลน ในระหว่างการตรวจสอบเรือเพื่อปราบปรามการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศหมู่เกาะในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 พ.จ.ท. ชาร์ลี ทอฟเฟสต์/กองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ

ในปาปัวนิวกินี การมีส่วนร่วมต่าง ๆ ประกอบด้วย

ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2567 ทีมจากกองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโดแปซิฟิกได้เดินทางเยือนปาปัวนิวกินี เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน มุ่งยกระดับการตอบสนองต่อภัยพิบัติ เสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง และเพิ่มขีดความสามารถให้กับกองทัพปาปัวนิวกินี

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 สหรัฐฯ ประกาศว่าจะใช้งบประมาณไม่เกิน 864 ล้านบาท (ประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับดำเนินโครงการ 3 โครงการที่ฐานทัพเรือลอมบรัมของกองทัพปาปัวนิวกินีบนเกาะลอสเนกรอส ได้แก่ การสร้างศูนย์ฝึกอบรมทางทะเลระดับภูมิภาค การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเรือขนาดเล็ก และการปรับปรุงท่าเรือให้ทันสมัย นอกจากนี้ ออสเตรเลียเองก็มีบทบาทร่วมในการฟื้นฟูฐานทัพแห่งนี้เช่นกัน

สิ่งที่สำคัญที่สุด ปาปัวนิวกินีและสหรัฐฯ ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหมในเดือนพฤษภาคม 2023 รวมถึงข้อตกลงในการต่อต้านภัยคุกคามทางทะเลข้ามชาติ เช่น การประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม การค้ายาเสพติด การลักลอบนำเข้าแรงงานข้ามชาติ และการขนส่งอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง ภายใต้ข้อตกลงการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลทวิภาคี เจ้าหน้าที่จากปาปัวนิวกินีและกองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ ร่วมกันลาดตระเวนทางทะเลเพื่อปกป้องเขตเศรษฐกิจพิเศษของปาปัวนิวกินีที่มีพื้นที่มากกว่า 2.4 ล้านตารางกิโลเมตร

“นี่ไม่ใช่แค่การพูดคุยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมระหว่างกองทัพกับกองทัพเท่านั้น” นายมาราเปกล่าวกับผู้สื่อข่าวในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 จากมุมมองของปาปัวนิวกินี ข้อตกลงเหล่านี้เป็นก้าวสำคัญสู่ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ โดยจะช่วยเสริมสร้างการปกป้องทรัพยากรน้ำจากการประมงและการลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมาย ปกป้องเศรษฐกิจจากอาชญากรรมข้ามชาติ รักษาความปลอดภัยชายแดน และตรวจสอบผู้มาเยือนทุกคน รวมถึงเสริมสร้างขีดความสามารถของกองกำลังป้องกันประเทศ” นายมาราเปกล่าว

ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่ยาวนาน

ประเทศในกลุ่มบลูแปซิฟิกมีความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ยาวนานมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อชาวหมู่เกาะโซโลมอนร่วมมือกับทหารสหรัฐฯ และพันธมิตรในการสร้างสนามบิน ชาวปาปัวและชาวนิวกินีขนส่งเสบียงให้ทหารออสเตรเลียตามเส้นทางโคโคดา และกรมทหารราบฟิจิได้สนับสนุนกองกำลังของนิวซีแลนด์และสหรัฐฯ ที่บูเกนวิลล์ ความสนใจจากนานาชาติต่อภูมิภาคนี้อาจลดลงหลังสงครามเย็น ทว่าพันธมิตรทั่วโลกกำลังฟื้นฟูความสนใจในหมู่เกาะแปซิฟิก เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล ปกป้องทรัพยากร และป้องกันการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

“การประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รวมถึงการประมงที่เป็นอันตรายอื่น ๆ ถือเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพของมหาสมุทร และส่งผลให้การประมงที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ระบบอาหาร และระบบนิเวศของหลายประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกเกิดการเสื่อมถอยหรืออาจถึงขั้นล่มสลาย” ทำเนียบขาวได้แถลงการณ์ล่วงหน้าก่อนการประชุมสุดยอดหมู่เกาะแปซิฟิกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 “การประมงเหล่านี้บ่อนทำลายความยั่งยืนของแหล่งพันธุ์ปลา หลบเลี่ยงมาตรการอนุรักษ์และการจัดการ อีกทั้งยังมักจะเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานและกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ”

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เรือคัตเตอร์โอลิเวอร์ เฮนรี่ ของกองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้เรือประมง ขณะลาดตระเวนเพื่อสนับสนุนหน่วยงานประมงการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก พ.จ.อ. ซาร่า มุยร์/กองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ

ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก 12 ประเทศมีข้อตกลงการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลทวิภาคีกับสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับความมั่นคงทางทะเล โดยบางครั้งก็เรียกข้อตกลงเหล่านี้ว่า ชิปไรเดอร์ ข้อกำหนดในหลายข้อตกลงอนุญาตให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจากฝ่ายหนึ่งสามารถประจำอยู่บนเรือของฝ่ายอื่นได้ โดยมีอำนาจในการตรวจสอบการประมงและดำเนินการบางอย่างในการบังคับใช้กฎหมาย หมู่เกาะคุกและสหรัฐฯ จัดทำความพยายามชิปไรเดอร์ขึ้นครั้งแรกในอินโดแปซิฟิกเมื่อ พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน ข้อตกลงเหล่านี้ ซึ่งกองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ มีบทบาทในการบังคับใช้กฎหมายของประเทศเจ้าภาพ กลายเป็นส่วนสำคัญของโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคของกองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโดแปซิฟิก ที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค

ข้อตกลงการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลทวิภาคีถือเป็น “สิ่งที่มีคุณค่ามาก” ดร. อัลเฟรด โอห์เลอร์ส ศาสตราจารย์ที่ศูนย์เอเชียแปซิฟิก แดเนียล เค. อิโนะอุเอะ เพื่อการศึกษาด้านความมั่นคง กล่าวกับ ฟอรัม “ประเทศเหล่านี้มีเขตเศรษฐกิจพิเศษทางทะเลที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ดังนั้นการรักษาอธิปไตยเหนือเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญเสมอ ประเทศทั้งหมดถือเป็นประเทศขนาดเล็ก ซึ่งต่างก็มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด”

ข้อตกลงทวิภาคีเหล่านี้อนุญาตให้สินทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเรือและลูกเรือของกองกำลังรักษาชายฝั่ง เข้าช่วยเหลือประเทศในบลูแปซิฟิกในการปกป้องสิทธิอธิปไตยของตน แต่ละประเทศต่างก็ได้รับประโยชน์ สหรัฐฯ สร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นขึ้นผ่านการทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการจัดการทรัพยากรของแต่ละประเทศ ซึ่งอาจเปิดทางให้การมีส่วนร่วมในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ประเทศในบลูแปซิฟิกที่ต้องเผชิญกับการรักษาความปลอดภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษทางทะเลที่กว้างใหญ่และมักมีการลักลอบทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ได้รับประโยชน์จากการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลเพิ่มเติม กองเรือประมงนอกชายฝั่งของจีนที่มีเรือถึง 4,600 ลำ ถือเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเรือประมงของจีนมักรุกล้ำเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศอื่น ๆ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

มหาสมุทรแปซิฟิกถือเป็นทรัพย์สินสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน พันธมิตรอย่างสหรัฐฯ สามารถส่งเสริมขอบเขตในการเฝ้าระวังทางทะเลและเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศหุ้นส่วนในบลูแปซิฟิกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาได้

สหรัฐฯ กำลังฟื้นฟูความมุ่งมั่นที่มีต่อภูมิภาคนี้

“การกลับมามีบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคแปซิฟิกไม่ได้มุ่งเพียงการริเริ่มโครงการใหม่หรือการให้ความช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความต่อเนื่องในการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วมในระยะยาว” นายชาร์ลส์ เอเดล และนางแคทรีน ไพค์ จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เขียนไว้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ สหรัฐฯ ได้กลับมาเปิดสถานทูตในหมู่เกาะโซโลมอนอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ใน พ.ศ. 2565 หมู่เกาะโซโลมอนลงนามข้อตกลงลับด้านความมั่นคงกับจีน ซึ่งนับเป็นข้อตกลงฉบับแรกระหว่างรัฐบาลจีนกับประเทศในภูมิภาคแปซิฟิก ข้อตกลงที่มีระยะเวลา 5 ปีนี้เปิดโอกาสให้รัฐบาลหมู่เกาะโซโลมอนสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังติดอาวุธของจีน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงเป้าหมายของจีนในการขยายอิทธิพลหรือการมีบทบาทในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับภูมิภาคนี้คือ ข้อตกลงดังกล่าวเปิดโอกาสให้รัฐบาลจีนตั้งฐานทัพทหารในระยะ 2,000 กิโลเมตรจากออสเตรเลีย

หมู่เกาะโซโลมอนเป็นหนึ่งในสามประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกที่เปลี่ยนการรับรองทางการทูตจากไต้หวันไปยังจีนตั้งแต่ พ.ศ. 2562 โดยมีคิริบาสที่ดำเนินการในปีเดียวกันและนาอูรูใน พ.ศ. 2567 สาเหตุคือปัจจัยทางการเงิน หลังจากที่คิริบาสดำเนินการแล้ว จีนได้ประกาศว่าจะปรับปรุงลานบินและสะพานบนเกาะคานตอนอันห่างไกลของคิริบาส การดำเนินการครั้งนี้ของนาอูรูถือเป็นครั้งที่สามที่ประเทศนี้เปลี่ยนทิศทางการรับรองทางการทูตระหว่างไต้หวันและจีน นับตั้งแต่ พ.ศ. 2545

ผู้นำระดับชาติรวมตัวที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกกับสหรัฐ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 รอยเตอร์

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสามเดือนหลังจากข้อตกลงด้านความมั่นคงระหว่างปาปัวนิวกินีกับสหรัฐฯ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เสนอความช่วยเหลือแก่พอร์ตมอร์สบีในการฝึกอบรม จัดหาอุปกรณ์ และเทคโนโลยีการเฝ้าระวังสำหรับกองกำลังตำรวจของประเทศ ในทางตรงกันข้าม ปาปัวนิวกินีได้เลือกที่จะลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคงกับออสเตรเลียในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ แคนเบอร์ราได้สัญญาจัดสรรเงิน 7 พันล้านบาท (ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อยกระดับกองกำลังตำรวจของปาปัวนิวกินี นายแอนโธนี อัลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวในภายหลังว่า ประเทศของเขาคือ “พันธมิตรด้านความมั่นคงที่ได้รับเลือกเป็นอันดับแรก” ของปาปัวนิวกินี

เศรษฐกิจที่ขาดความโปร่งใส

ความสัมพันธ์ทางการเงินกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาพร้อมกับความเสี่ยงอย่างสูง นักวิเคราะห์เรียกความสัมพันธ์นี้ว่าการทูตกับดักหนี้ ซึ่งเป็นการให้กู้ยืมอย่างเอารัดเอาเปรียบ โดยทำลายอธิปไตยและมีเป้าหมายในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ตลาดใหม่ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่อาจใช้สำหรับกิจกรรมทางทหารของจีน

ข้อตกลงทางการตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในภูมิภาคแปซิฟิกนั้น “ขาดความโปร่งใสและน่ากังวลอย่างยิ่ง” และประเทศในบลูแปซิฟิกควร “ระมัดระวังและมีวิจารณญาณที่ชัดเจน” เกี่ยวกับข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลจีน นายแดเนียล ครีเทนบริงค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 “จีนมักให้สัญญาหลายประการที่ไม่เคยปฏิบัติตาม และสิ่งนี้อาจนำไปสู่ผลกระทบในแง่ลบ”

เช่น ในวานูอาตู การล้มละลายของสายการบินแห่งชาติในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 เชื่อมโยงกับภาระหนี้สินที่ประเทศมีต่อจีน รายงานโดยหนังสือพิมพ์ดิออสเตรเลียนไฟแนนเชียลรีวิว สายการบินดังกล่าวปิดตัวลงเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องลดงบประมาณในทุกภาคส่วนเพื่อชำระหนี้สินที่เกิดจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ในขณะนั้น จีนเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่เป็นอันดับสองของวานูอาตู รองจากออสเตรเลีย โดยให้ความช่วยเหลือและเงินกู้ยืมรวมทั้งสิ้น 1.7 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 483 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งรวมถึง 3.11 พันล้านบาท (ประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับท่าจอดเรือที่ใหญ่ที่สุดในแปซิฟิกใต้

พันธมิตรและหุ้นส่วน เช่น ออสเตรเลียและสหรัฐฯ ได้เสนอแผนเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งเน้นที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในหมู่เกาะแปซิฟิก ยุทธศาสตร์ความร่วมมือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ได้แก่เงินทุน 1.73 พันล้านบาท (ประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงทางการเงินสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเน้นที่ความยืดหยุ่นทางภูมิอากาศและธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมการระดมทุนจากกลุ่มธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย เพื่อกระตุ้นการลงทุนที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายระดับโลกอื่น ๆ และในคิริบาส โครงการมูลค่า 1 พันล้านบาท (ประมาณ 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ มุ่งส่งเสริมโอกาสการจ้างงานที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และครอบคลุมทุกกลุ่ม รวมถึงการเสริมสร้างสิทธิของคนงานและการให้การฝึกอบรมอาชีพ

ในทางตรงกันข้าม โครงการของจีนในบลูแปซิฟิกประกอบไปด้วยอาคารหลายชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จและกำลังทรุดโทรมในฟิจิและปาปัวนิวกินี รวมถึงศูนย์ประชุมในวานูอาตูที่เจ้าหน้าที่กล่าวว่าไม่สามารถบำรุงรักษาได้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ตามรายงานของสถาบันโลวี ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของออสเตรเลียในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 รายงานดังกล่าวระบุว่า ตองงาเองก็ประสบปัญหาในการชำระหนี้ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนเช่นกัน “ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้ความสนใจในการขอกู้ยืมเพื่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานจากจีนในภูมิภาคแปซิฟิกลดน้อยลง” สถาบันดังกล่าวระบุ

ซามัวเป็นหนึ่งในประเทศในบลูแปซิฟิกที่คัดค้านแผนการเงินของจีน ใน พ.ศ. 2505 ซามัวได้กลายเป็นประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกแห่งแรกที่ได้รับเอกราชทางการเมือง โดยได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการจากซามัวตะวันตกใน พ.ศ. 2540

ใน พ.ศ. 2564 นางเฟียเม นาโอมิ มาตาอาฟา นายกรัฐมนตรีซามัว ได้ตัดสินใจยกเลิกโครงการพัฒนาท่าเรือมูลค่า 4.42 พันล้านบาท (ประมาณ 128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจีน เนื่องจากมองว่าโครงการนี้เป็นภาระที่เกินความจำเป็นสำหรับประเทศขนาดเล็กที่มีหนี้สินกับจีนอยู่แล้ว

“การพิจารณาว่าเราจะต้องการขนาดของโครงการที่กำลังเสนอในตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก” นางมาตาอาฟากล่าวกับรอยเตอร์ “เมื่อมีโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนกว่าซึ่งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญก่อน”

ประเทศในบลูแปซิฟิกจะมีโอกาสเติบโตในอนาคตผ่านความร่วมมือทวิภาคีกับสหรัฐฯ และหุ้นส่วนอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเหล่านั้นสามารถรักษาผลประโยชน์ของตนและปกป้องอธิปไตยของตนได้ เช่น การประชุมผู้นำหมู่เกาะแปซิฟิกครั้งที่ 10 ระหว่างญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 ได้นำไปสู่ข้อตกลงพิจารณาการลงทุนและความเชื่อมโยงทางการค้าในอนาคต พร้อมทั้งข้อตกลงใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button