บทบาทที่ก้าวหน้าของอินโดนีเซียในการพัฒนาวิสัยทัศน์ด้านกลาโหมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กัสดี ดา คอสตา
ปฏิญญาร่วมเวียงจันทน์ที่ได้รับการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนครั้งที่ 18 ที่กรุงเวียงจันทน์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงในภูมิภาค
ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียนและผู้นำในภูมิภาค อินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายที่ตั้งไว้ของอาเซียน อินโดนีเซียได้ใช้ประโยชน์จากเวทีของอาเซียน เช่น การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจากประเทศคู่เจรจาของอาเซียน ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน รัสเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา โดยได้มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาค ความมั่นคงทางทะเล และความเชื่อมั่นระดับพหุภาคี ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ตามรายงานของนักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่
“การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของอินโดนีเซียในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนครั้งที่ 18 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอินโดนีเซียในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก” กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซียระบุ
ปฏิญญาร่วมได้ยอมรับว่าอาเซียนเป็นกำลังหลักในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่ นายบูดี ริยันโต อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากโรงเรียนประชาสัมพันธ์ลอนดอนในกรุงจาการ์ตา กล่าวกับ ฟอรัม
“จากมุมมองด้านนโยบาย อินโดนีเซียได้ยึดถืออาเซียนเป็นรากฐานสำคัญมาโดยตลอด” นายริยันโตกล่าว
โครงการความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคงของรัฐบาลอินโดนีเซียชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของอินโดนีเซียในกลไกที่นำโดยอาเซียน นายเบนิ ซูกาดิส นักวิเคราะห์จากสถาบันการศึกษาด้านกลาโหมและยุทธศาสตร์ของอินโดนีเซีย กล่าว “อินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญในการเข้าร่วมเวทีของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา เพื่อสร้างแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นพันธมิตรและความร่วมมือในการบรรเทาภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” นายซูกาดิสกล่าวกับ ฟอรัม
ทะเลจีนใต้เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของปฏิญญาเวียงจันทน์ ซึ่งรวมถึงความพยายามของอินโดนีเซียในการยกระดับความมั่นคงทางทะเลและรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค สาธารณรัฐประชาชนจีนอ้างสิทธิ์อธิปไตยเหนือเส้นทางการค้าทางทะเลที่อุดมไปด้วยทรัพยากรเกือบทั้งหมด โดยฝ่าฝืนคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศเมื่อ พ.ศ. 2559 ที่ระบุว่า การอ้างสิทธิ์ในดินแดนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย รัฐบาลจีนได้เพิ่มการคุกคามต่อเรือของพลเรือนและเรือทหารของประเทศอื่น ๆ ที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่เดียวกัน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งปฏิบัติการอย่างชอบด้วยกฎหมายภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศตนเอง
“อินโดนีเซียไม่ได้อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ใด ๆ ในทะเลจีนใต้” นายริยันโตกล่าว “อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการรักษาความสามัคคีในภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียน”
ตามรายงานของนายซูกาดิส รัฐบาลอินโดนีเซียได้เรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ในช่วงต้น พ.ศ. 2567 นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียในสมัยนั้น ได้เรียกร้องให้เร่งการเจรจาว่าด้วยหลักปฏิบัติในทะเลจีนใต้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งในภูมิภาค
“อินโดนีเซียจะยังคงยืนหยัดเพื่อความมั่นคงในภูมิภาคทะเลจีนใต้ผ่านเวทีระดับพหุภาคีและการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ” นายซูกาดิสกล่าว พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า การยึดมั่นในท่าทีที่เป็นกลางของรัฐบาลอินโดนีเซียทำให้สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางและส่งเสริมการเจรจาระหว่างฝ่ายที่มีความขัดแย้งได้
ปฏิญญาร่วมเวียงจันทน์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงด้านอาหาร และความเสี่ยงทางไซเบอร์
การโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 ที่มุ่งเป้าไปยังสำนักงานรัฐบาลของอินโดนีเซีย ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างการป้องกันทางไซเบอร์ให้มีความแข็งแกร่ง “ประเด็นด้านไซเบอร์ได้กลายเป็นหัวข้อสำคัญของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน” นายริยันโตกล่าว “ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออินโดนีเซีย เนื่องจากเราได้รับทั้งความรู้ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงเครือข่ายที่เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศที่มีการพัฒนามากกว่า”
ในการบรรเทาและการรับมือภัยพิบัติ อินโดนีเซียได้นำความเชี่ยวชาญและความร่วมมือกับศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมาปรับใช้ ตลอดจนการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น ศูนย์อาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นายซูกาดิสกล่าว โดยกล่าวเสริมว่า ประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด และการทำงานของสำนักงานจัดการภัยพิบัติของอินโดนีเซียมีประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างภาครัฐและทหาร
การที่รัฐบาลอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นระดับพหุภาคีนั้น สอดคล้องกับเป้าหมายทางการฑูตด้านกลาโหมของอินโดนีเซียที่ครอบคลุม ตามรายงานของนายชัยริล ตังกูห์ นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมจากมหาวิทยาลัยบินานูซันตาราของอินโดนีเซีย
ตัวอย่างเช่น การฝึกซ้อมทางทหาร ซูเปอร์การูด้าชิลด์ “ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของอินโดนีเซียในทางทูตด้านกลาโหม โดยมีหุ้นส่วนอย่างสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นเข้าร่วมด้วย” นายตังกูห์กล่าวกับ ฟอรัม “การฝึกซ้อมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของอินโดนีเซียในการเป็นผู้นำความร่วมมือระดับพหุภาคี พร้อมกับรักษาท่าทีที่เป็นกลาง”
กัสดี ดา คอสตา เป็นผู้สื่อข่าวสมทบของ ฟอรัม ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย