การส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังรัสเซียละเมิดมติขององค์การสหประชาชาติ

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่อเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมระดับสูงสองคนของเกาหลีเหนือในช่วงกลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 จากบทบาทหน้าที่ของทั้งสองในการส่งทหารไปช่วยรัสเซียในสงครามที่ไม่มีเหตุอันสมควรในยูเครน
สหภาพยุโรปได้กำหนดเป้าหมายไปที่นายโร ควางชอล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือ จากบทบาทของเขาในความร่วมมือทางทหารระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ รวมถึงการส่งทหารประมาณ 11,000 นายไปยังรัสเซีย นอกจากนี้ นายคิม ยงบก รองผู้บัญชาการกองทัพเกาหลีเหนือ ยังถูกคว่ำบาตรเนื่องจากได้เดินทางไปรัสเซียเพื่อควบคุมการส่งกำลังทหารดังกล่าว
มาตรการคว่ำบาตรนี้ได้อายัดทรัพย์สินของบุคคล 54 คน และบริษัทกับหน่วยงานอื่น ๆ อีก 30 แห่ง นี่นับเป็นการคว่ำบาตรครั้งที่ 15 ของสหภาพยุโรปตั้งแต่ที่นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย สั่งการให้รุกรานยูเครนโดยมิชอบด้วยกฎหมายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 มาตรการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดมุ่งเป้าไปที่บริษัทด้านกลาโหมและการขนส่งของรัสเซียที่ทำการขนส่งน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลรัสเซีย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการห้ามเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และการลงโทษอื่น ๆ ต่อหน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้การสนับสนุนสงครามรุกรานของรัสเซียผ่านการจัดหาชิ้นส่วนโดรนและอุปกรณ์ไฟฟ้า
“ชุดมาตรการคว่ำบาตรหลากหลายประการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้ของเราเพื่อบ่อนทำลายเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย และรวมถึงเหล่าผู้ที่สนับสนุนสงครามครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทของจีนด้วย” นางไคยา คาลลัส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวในแถลงการณ์
ในวันเดียวกันนั้น สหรัฐอเมริกาได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อหน่วยงานและบุคคลอีก 19 ราย รวมถึงนายโรและนายคิม ฐานให้การสนับสนุนทางทหารแก่รัสเซียและการสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง โครงการนิวเคลียร์ และโครงการขีปนาวุธทิ้งตัวของเกาหลีเหนือ
“การกระทำเหล่านี้บ่งบอกถึงการกระทำเชิงยั่วยุที่เพิ่มขึ้นของเกาหลีเหนือและท่าทีทางการทหารที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งทำให้ความตึงเครียดทั่วโลกทวีความรุนแรงขึ้นและบั่นทอนสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค” กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์
ในช่วงปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เกาหลีเหนือได้ทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป และในต้นเดือนพฤศจิกายนก็ได้ยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ 7 ลูกออกจากชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี
นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 เกาหลีเหนือยังได้ส่งตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 13,000 ตู้ที่บรรจุอาวุธปืนใหญ่ ขีปนาวุธ และอาวุธทั่วไปอื่น ๆ ไปยังรัสเซีย ตามรายงานของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567
นักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่ระบุว่า รัสเซียได้ตอบแทนเกาหลีเหนือด้วยเงินสด ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน และอุปกรณ์ป้องกันภัยทางอากาศ รัฐบาลรัสเซียยังได้จัดส่งน้ำมันให้เกาหลีเหนือประมาณ 1 ล้านบาร์เรลตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 ตามการวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียมของโอเพนซอร์สเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นคณะวิจัยไม่แสวงหาผลกำไรที่อยู่ในสหราชอาณาจักร การจัดส่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่กำหนดใน พ.ศ. 2560 ซึ่งจำกัดการนำเข้าน้ำมันของรัฐบาลเกาหลีเหนือ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติสำคัญ 9 ฉบับเพื่อคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเนื่องจากดำเนินกิจกรรมนิวเคลียร์และขีปนาวุธตั้งแต่ พ.ศ. 2549 หนึ่งในมติแรก ๆ ซึ่งรู้จักกันในชื่อมติ 1718 ได้เรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์ของตน “อย่างสมบูรณ์ ตรวจสอบได้ และไม่สามารถย้อนกลับคืนได้” ยุติกิจกรรมขีปนาวุธทิ้งตัว และกลับเข้าสู่การเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์
มติดังกล่าวห้ามสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ขายหรือขนถ่ายอาวุธหนัก เช่น รถถัง เรือ หรือระบบขีปนาวุธ รวมถึงชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสำหรับโครงการอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงและขีปนาวุธทิ้งตัวแก่เกาหลีเหนือ อีกทั้งยังอายัดทรัพย์สินทางการเงินของหน่วยงานที่คณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่ามีส่วนสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ และอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงของรัฐบาลเกาหลีเหนือ มติดังกล่าวยังได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตาม
มติฉบับถัด ๆ มาได้ขยายขอบเขตการห้ามค้าอาวุธ โดยได้กำหนดบุคคลและหน่วยงานเพิ่มเติมที่ต้องถูกอายัดทรัพย์สินและห้ามเดินทาง เสริมความเข้มงวดในการบังคับใช้ และห้ามหรือจำกัดการส่งออกของเกาหลีเหนือ เช่น ทองแดง นิกเกิล เหล็ก ถ่านหิน แร่ธาตุอื่น ๆ สิ่งทอ และอาหารทะเล
ในช่วงต้น พ.ศ. 2555 นายคิม จองอึน ผู้นำเผด็จการของเกาหลีเหนือ ได้กล่าวว่าจะระงับการทดสอบนิวเคลียร์เพื่อแลกกับความช่วยเหลือด้านอาหาร แต่หลังจากนั้นก็กลับละเมิดมติดังกล่าวด้วยการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลในช่วงปลายปีของ พ.ศ. 2555 และต้น พ.ศ. 2556 การละเมิดมติรวมถึงการยิงขีปนาวุธและปล่อยดาวเทียมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งกำลังทหารไปยังรัสเซียก็ถือเป็นการกระทำอันเป็นการเพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศครั้งล่าสุดของนายคิม
“การกระทำเชิงยั่วยุอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลของนายคิม รวมถึงการทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวครั้งล่าสุดและการสนับสนุนทางทหารแก่รัสเซีย กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคและสนับสนุนความก้าวร้าวต่อยูเครนอย่างไม่ลดละของนายปูติน” นายแบรดลีย์ ที. สมิธ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและข่าวกรองทางการเงิน กล่าวในแถลงการณ์