การจอดเทียบท่าของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่กัมพูชาแสดงให้เห็นชัดถึงความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของทั้งสองประเทศ
เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาต้อนรับเรือประจัญบานของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือน้ำลึกหลักของกัมพูชาในช่วงกลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยกล่าวว่าการจอดเทียบท่าครั้งนี้จะ “เสริมสร้างและขยายสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพ”
เรือ ยูเอสเอส ซาวันนาห์ รุ่นชั้นอินดิเพนเดนซ์ จอดเทียบท่าในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่ พล.ร.อ. ซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นแปซิฟิก จะมาถึงกัมพูชาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อยกระดับเสถียรภาพของอินโดแปซิฟิก พล.ร.อ. ปาปาโรได้พบปะกับผู้นำหลายคน รวมถึงนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพบกกัมพูชา และเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการทหารสหรัฐฯ ที่เวสต์พอยต์
ยูเอสเอส ซาวันนาห์ เป็นหนึ่งในเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ เกือบ 30 ลำที่ได้มาเยือนกัมพูชาที่มีประชากร 17 ล้านคนนับตั้งแต่ พ.ศ. 2550 และนับเป็นการเยือนครั้งแรกในรอบแปดปี ตามรายงานของเอเจนซ์ ฟรานซ์-เพรส โดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมกัมพูชา
การจอดเทียบท่าของ ยูเอสเอส ซาวันนาห์ ที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ในอ่าวไทยซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชาเป็นเวลา 5 วัน เป็นสิ่งที่ “แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง” ตามแถลงการณ์ของกองทัพเรือสหรัฐฯ
“กัมพูชาเป็นพันธมิตรที่สำคัญของเราในภูมิภาคนี้ และการจอดเทียบท่าครั้งนี้มอบโอกาสสำคัญในการพบปะกับผู้นำในท้องถิ่น” น.ท. แดเนียล สเลดซ์ ผู้บัญชาการเรือ ยูเอสเอส ซาวันนาห์ กล่าว
ท่าเรือดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้ฐานทัพเรือเรียมของกัมพูชา ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนดังกล่าวได้สร้างความกังวลในหมู่ประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนเกี่ยวกับแรงจูงใจของรัฐบาลจีน
รายงานจากศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ เมื่อ พ.ศ. 2565 ระบุว่าการขุดลอกที่ฐานทัพดังกล่าวอาจเปิดทางให้เรือทหารขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าได้ ศูนย์วิจัยได้อ้างถึงรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่ากัมพูชาได้อนุญาตให้จีนเข้าถึงฐานทัพเรียมเพื่อแลกกับการจัดหาเงินทุน ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ขณะที่ในช่วงปลาย พ.ศ. 2566 เรือฟริเกตของกองทัพจีน 2 ลำได้เข้าเทียบท่าที่ฐานทัพดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่กัมพูชาระบุว่าเรือเหล่านี้มาเพื่อฝึกอบรมกองกำลังในประเทศเท่านั้น ตามรายงานของซีเอ็นเอ็น
ความกังวลเหล่านี้ยิ่งเพิ่มขึ้นจากการที่รัฐบาลจีนแสดงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์มากขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่ซึ่งรัฐบาลจีนยังคงดื้อดึงในการผลักดันการอ้างสิทธิ์ทางดินแดนตามอำเภอใจและไม่มีมูลทางกฎหมาย ลูกเรือจีนมักจะคุกคามเรือพลเรือนและเรือทหารของประเทศอื่น ๆ ที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงเรือที่อยู่ภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศนั้น ๆ เองด้วย การกระทำเหล่านี้เสี่ยงที่จะจุดชนวนความขัดแย้งในเส้นทางการค้าที่สำคัญของโลก
ระหว่างการจอดเทียบท่าที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ พล.ร.อ. ปาปาโรกล่าวว่า สหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคี “ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน อธิปไตย และความเท่าเทียมกัน” ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะพนมเปญโพสต์ “และในขณะที่กัมพูชาเดินหน้าการพัฒนาของตนเอง กัมพูชาก็มีสิ่งที่ตนเองต้องตัดสินใจเลือกในการพัฒนาฐานทัพเรียมและสร้างความสัมพันธ์ในภูมิภาคนี้” พล.ร.อ. ปาปาโรกล่าว
“ความสัมพันธ์ของเรากับกัมพูชาไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อตอบโต้ใคร” พล.ร.อ. ปาปาโรกล่าว
ก่อนเดินทางถึงสีหนุวิลล์ เรือ ยูเอสเอส ซาวันนาห์ ได้ปฏิบัติภารกิจตามกิจวัตรในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประจำการแบบหมุนเวียนเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างพันธมิตรและหุ้นส่วน รวมถึงสนับสนุนวิสัยทัศน์อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง
“ลูกเรือของเรือลำนี้มาที่กัมพูชาด้วยเจตนาที่ดีเพื่อสร้างสัมพันธ์กับลูกเรือจากกองทัพเรือกัมพูชา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาและการตอบสนองต่อความท้าทายด้านความมั่นคงทางทะเลร่วมกัน” สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ระบุ
สหรัฐฯ และกัมพูชาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2493 และได้เพิ่มความร่วมมืออย่างลึกซึ้งมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนกัมพูชาเพื่อหารือเกี่ยวกับการขยายความสัมพันธ์ด้านกลาโหม เช่น การขยายความสัมพันธ์ผ่านการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมทางทหารเกี่ยวกับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและภารกิจรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น
หนึ่งวันหลังจากการมาถึงของเรือ ยูเอสเอส ซาวันนาห์ นางบริดเจ็ตต์ วอล์กเกอร์ อุปทูตสหรัฐฯ ได้พบกับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เพื่อหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้าง “ความร่วมมือและความสัมพันธ์ในเป้าหมายสำคัญด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และกัมพูชา” ตามรายงานของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ
การสนับสนุนจากสหรัฐฯ ที่มีให้กับกัมพูชานั้นรวมถึงโครงการริเริ่มภาครัฐและเอกชนในด้านสุขภาพและโภชนาการ การศึกษา การพัฒนาเด็ก การอนุรักษ์ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การผลิตทางการเกษตร และความมั่นคงทางอาหาร ตามรายงานขององค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 75 ของประชากรกัมพูชา อาศัยอยู่ในชนบทและพึ่งพาการเกษตร ประมง และป่าไม้ในการดำรงชีวิต
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สหรัฐฯ ได้บริจาควัคซีนกว่า 3.3 ล้านโดสให้กับกัมพูชา ตามรายงานของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ