ความร่วมมือเรื่องเด่น

หล่อหลอม การป้องปราม

เทคโนโลยีใหม่ และความร่วมมือที่เข้มแข็งช่วยยกระดับเสถียรภาพทั่วโลก

เซนทรี

ระบบด้านกลาโหมรุ่นใหม่จะมีความรวดเร็วมากขึ้น แม่นยำมากขึ้น และทรงพลังมากขึ้น เพื่อปกป้องสหรัฐอเมริการวมทั้งพันธมิตรและหุ้นส่วนจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่กองทัพสหรัฐฯ และหุ้นส่วนปรับปรุงความทันสมัยให้กับระบบต่าง ๆ ของตนเอง เทคโนโลยีใหม่ก็ช่วยมอบขีดความสามารถขั้นสูงในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามต่อภูมิภาคอินโดแปซิฟิกและที่อื่น ๆ รัสเซียและพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีจุดมุ่งหมายที่จะขัดขวางระบบด้านกลาโหมของสหรัฐฯ และพันธมิตรมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองก็ยังคงนำระบบของตนเองมาใช้อย่างต่อเนื่อง เกาหลีเหนือและอิหร่านก็กำลังขยายคลังแสงและขีดความสามารถทางนิวเคลียร์ของตนด้วยเช่นกัน

“สำหรับกองกำลังสหรัฐฯ พร้อมทั้งพันธมิตรและหุ้นส่วนของสหรัฐฯ ทั่วโลก ในยุคของสงครามที่มุ่งเน้นไปที่ขีปนาวุธ การป้องกันขีปนาวุธเชิงรุกได้กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการวางกำลังทางทหารที่น่าเชื่อถือ” นายจอห์น ดี. ฮิล รองรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้านนโยบายอวกาศและการป้องกันขีปนาวุธ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการกิจการทหารของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 “หากจะอธิบายโดยเรียบง่ายที่สุด การป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธแบบบูรณาการประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์และอาวุธยิงที่หลากหลาย และระบบบัญชาการและควบคุมที่เชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาภาคสนามสามารถเลือกสรรอุปกรณ์สกัดกั้นที่ดีที่สุดในการป้องกันภัยคุกคามที่เกิดขึ้นได้ แต่โดยภาพรวมนั้น การป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธแบบบูรณาการยังจำเป็นต้องผสานเข้ากับองค์ประกอบอื่น ๆ ของการวางกำลังทางทหาร รวมถึงขีดความสามารถในการโจมตีที่สามารถทำอันตรายต่อขีดความสามารถทางทหารที่สำคัญของศัตรูได้”

ภัยคุกคามใหม่ เทคโนโลยีใหม่

สหรัฐฯ พร้อมด้วยพันธมิตรและหุ้นส่วนกำลังพัฒนาโครงการด้านการป้องกันและการเตือนภัย ซึ่งครอบคลุมขอบเขตต่าง ๆ รวมถึงอวกาศ ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นและเพื่อรับรองถึงเสถียรภาพของโลก ตัวอย่างเช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธในอนาคตจะผสานเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อการตรวจจับ ติดตาม และสกัดกั้นอาวุธ ระบบป้องกันที่กำลังพัฒนา ได้แก่

สถาปัตยกรรมเซ็นเซอร์กำลังก้าวหน้าขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากอาวุธความเร็วเหนือเสียงระยะไกล “เรายืนอยู่ ณ จุดพลิกผันของการป้องกันขีปนาวุธ ซึ่งเริ่มต้นด้วยเซ็นเซอร์” นายมาซาโอะ ดาห์ลเกรน นักวิจัยในโครงการป้องกันขีปนาวุธของสถาบันวิจัยนโยบายการต่างประเทศและยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ กล่าวในการอภิปรายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 “เซ็นเซอร์เป็นจุดแรกในกระบวนการทำลายของการป้องกันขีปนาวุธ และคุณจะออกแบบข้อกำหนดอื่น ๆ ทั้งหมดสำหรับการป้องกันขีปนาวุธโดยอิงจากสิ่งนี้” เช่น เซ็นเซอร์อวกาศติดตามอาวุธความเร็วเหนือเสียงและขีปนาวุธทิ้งตัวประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์ชนิดใช้แสงหลายความยาวคลื่น และสามารถตรวจจับและติดตามอาวุธความเร็วเหนือเสียง ขีปนาวุธทิ้งตัว และภัยคุกคามในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งของระเกะระกะปริมาณมาก ทำให้กองกำลังสกัดกั้นได้ดีขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 สำนักงานป้องกันขีปนาวุธสหรัฐฯ และหน่วยพัฒนาอวกาศของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ได้ปล่อยดาวเทียม 6 ดวงสู่วงโคจรต่ำของโลก โดย 2 ใน 6 ดวงติดตั้งเซ็นเซอร์อวกาศติดตามอาวุธความเร็วเหนือเสียงและขีปนาวุธทิ้งตัวรุ่นต้นแบบ สหรัฐฯ กำลังพัฒนาเครือข่ายเซ็นเซอร์อินฟราเรด ซึ่งสามารถตรวจจับลำแสงร้อนของจรวดเมื่อถูกปล่อยออกมา ทำให้กองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรมีเวลาตอบโต้ เซ็นเซอร์สามารถตรวจจับประเภทของขีปนาวุธ แหล่งที่มาของการปล่อย และตำแหน่งเป้าหมายจากระยะหลายพันกิโลเมตรเหนือพื้นโลกได้ด้วยกลุ่มดาวเทียมในวงโคจรพ้องคาบโลก (หมุนตามการหมุนของโลกเพื่อคงตำแหน่งในพื้นที่เฉพาะ) และวงโคจรแบบวงรีสูง (ให้การครอบคลุมพื้นที่ละติจูดสูงและบริเวณขั้วโลก) ในอนาคตจะมีการส่งดาวเทียมขึ้นไปในวงโคจรต่ำและกลางของโลก ซึ่งเป็นการเพิ่มการเฝ้าระวังขึ้นอีกชั้น

ขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นใหม่ ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของศัตรู จะผสานรวมเทคโนโลยีใหม่เพื่อปรับปรุงระบบการนำทาง ระยะยิง การล่องหน และความคงทน กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังพัฒนาขีปนาวุธร่อนแบบอากาศสู่พื้นดินที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อทะลุทะลวงและทนทานต่อระบบป้องกันภัยทางอากาศ เอจีเอ็ม-181 ยังสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52เอช
สตราโตฟอร์เทรส และ บี-21 โดยติดตั้งหัวรบเทอร์โมนิวเคลียร์สองขั้น
ตอนที่มีพลังทำลายระดับต่ำถึงระดับปานกลาง ขีปนาวุธนี้มีพิสัยการยิงเกินกว่า 2,500 กิโลเมตร และมีกำหนดจะเข้าประจำการภายใน พ.ศ. 2573 ในขณะเดียวกัน กองทัพเรือสหรัฐฯ กำลังพัฒนาขีปนาวุธต่อต้านเรือเชิงรุกความเร็วเหนือเสียงแบบยิงทางอากาศ ซึ่งสามารถเดินทางด้วยความเร็วมากกว่า 6,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามรายงานของเดอะดีเฟนซ์โพสต์ ซึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ขีปนาวุธต่อต้านเรือเชิงรุกความเร็วเหนือเสียงแบบยิงทางอากาศจะสามารถใช้งานร่วมกับ เอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ที่มีสมรรถนะสูง เครื่องยนต์คู่ รวมทั้งสามารถบรรทุกขึ้นบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ และคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายใน พ.ศ. 2571

ขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีปแบบยิงจากพื้นดิน เอ็มจีเอ็ม-35 เซนทิเนล กำลังพัฒนาขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงความทันสมัยให้กับขีปนาวุธ 400 ลูก ฐานปล่อยขีปนาวุธ 45 แห่ง และฐานปฏิบัติการมากกว่า 600 แห่งในสหรัฐฯ คาดว่าโครงการ
เซนทิเนลจะดำเนินการต่อไปได้จนถึง พ.ศ. 2618 อีกทั้งยังประกอบไปด้วยความสามารถด้านการสั่งการ การควบคุม และการสื่อสารที่แข็งแกร่ง ฐานปฏิบัติการที่มีความแข็งแกร่ง และเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกที่ยาวหลายพันกิโลเมตร การมาถึงของเซนทิเนลประจวบเหมาะกับการปลดประจำการของมินิทแมนทรี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการปฏิบัติการขาดช่วง การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 ที่โรงงานผลิตอาวุธแห่งใหม่ที่ฐานทัพอากาศมาล์มสตรอม รัฐมอนแทนา

อาวุธพลังงานควบคุมทิศทาง ซึ่งรวมถึงเลเซอร์ อุปกรณ์คลื่นความถี่วิทยุหรือไมโครเวฟที่มีกำลังสูง และเทคโนโลยีลำแสงอนุภาค ล้วนใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการระงับ ลดทอน ทำลายล้าง หรือหลอกลวงศัตรู โดยไม่จำเป็นต้องมีการส่งกระสุนออกไป อาวุธพลังงานควบคุมทิศทางยังใช้ในการระบุเป้าหมาย การค้นหาและการสอดแนมเพื่อการต่อต้านข่าวกรอง และสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงการรบกวนหรือขัดขวางสัญญาณและการปิดการทำงานหรือทำลายเป้าหมาย มีการคาดการณ์ว่านวัตกรรมในภาคส่วนการค้าจะผลักดันการพัฒนาอาวุธพลังงานควบคุมทิศทาง ซึ่งรวมถึงระบบที่มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีต้นทุนต่ำลง ระบบที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาและการทดสอบส่วนใหญ่มีไว้สำหรับปฏิบัติการต่อต้านโดรน และผู้นำทางทหารก็แสดงความสนใจเป็นพิเศษในอาวุธไมโครเวฟกำลังสูง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าเลเซอร์ในการต่อต้านฝูงโดรน “สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือเมื่อคุณเริ่มพูดถึงฝูงโดรน เราจึงต้องลงทุนในสิ่งต่าง ๆ เช่น ไมโครเวฟกำลังสูง เพื่อสามารถรับมือกับฝูงโดรนที่กำลังบุกเข้ามาหาคุณ” พล.อ. ไมเคิล “อีริก” คูริลลา หัวหน้ากองบัญชาการกลางสหรัฐฯ กล่าวต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 “คุณจำเป็นต้องมีการป้องกันหลายชั้น”

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้นำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เข้ากับระบบต่าง ๆ เป็นเวลานานกว่า 60 ปีแล้ว เมื่อปัญญาประดิษฐ์มีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้นำด้านความมั่นคงก็มองหาวิธีการเพิ่มเติมที่เทคโนโลยี รวมถึงการเรียนรู้ของเครื่องและระบบอัตโนมัติ จะช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดสินใจที่เร็วขึ้นและดียิ่งขึ้นในภาคสนาม “เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์และระบบไร้คนขับได้เปลี่ยนแปลงวิธีการที่กองทัพจัดเตรียมการรักษาความปลอดภัยและพยายามยับยั้งสงคราม … และในที่สุดก็สามารถตัดสินใจได้ว่าฝ่ายใดจะมีชัยในช่วงเวลาแห่งการทำสงคราม” พล.ร.ท. แบรด คูเปอร์ รองผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางสหรัฐฯ กล่าวกับผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและกลาโหมในการประชุม “ปัญญาประดิษฐ์ในยุคของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์” ที่จัดขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา “ที่กองบัญชาการกลางสหรัฐฯ เราสามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์ในขอบเขตทางทะเลเพื่อตรวจจับรูปแบบเพื่อระบุภัยคุกคามในอัตราที่รวดเร็วขึ้น” พล.ร.ท. คูเปอร์ระบุ “เราต้องการก้าวนำหน้าการกระทำที่ชั่วร้าย และปัญญาประดิษฐ์ … ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง” ปัญญาประดิษฐ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบอินฟราเรดในอวกาศ ซึ่งมีเซ็นเซอร์เพื่อรับมือกับการโจมตีต่าง ๆ เช่น การโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดงโดยกลุ่มกบฏฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน “ความสามารถในการแจ้งเตือนเกี่ยวกับขีปนาวุธ เช่น ‘มีขีปนาวุธกำลังมุ่งหน้าเข้ามาและนี่คือสถานที่ที่ขีปนาวุธนั้นถูกยิงออกมา และนี่คือที่ที่ขีปนาวุธกำลังมุ่งหน้าไป’ เป็นข้อมูลที่มีคุณค่าในการรักษาความปลอดภัยของผู้คน” พล.อ. บี. ชานซ์ ซอลซ์แมน หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการอวกาศของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ กล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์จะสามารถให้ข้อมูลอย่างรวดเร็วเพื่อการตัดสินใจได้ แต่ในท้ายที่สุดมนุษย์ยังคงเป็นผู้ควบคุมระบบอยู่ พล.ร.ท. คูเปอร์กล่าว “เราสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในระดับที่ก่อนหน้านี้เราไม่อาจจินตนาการได้มาก่อน” พล.ร.ท. คูเปอร์กล่าว

ดาวเทียม 2 ใน 6 ดวงที่ปล่อยขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ติดตั้งเซ็นเซอร์อวกาศติดตามอาวุธความเร็วเหนือเสียงและขีปนาวุธทิ้งตัวรุ่นต้นแบบ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ผ่านทางสเปซเอ็กซ์

การสร้างและเสริมสร้างความร่วมมือ

ในโลกที่เผชิญกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงมากมาย สหรัฐฯ กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรและหุ้นส่วน และสร้างแนวร่วมใหม่ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแบ่งปันข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์

“การนำศักยภาพเต็มรูปแบบของข้อมูล การวิเคราะห์ และปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ให้เกิดผลอย่างเต็มที่นั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบเฉพาะขององค์กรหรือโครงการใดเพียงแห่งเดียว” ตามที่ระบุในยุทธศาสตร์การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ “แต่จำเป็นต้องอาศัยความพยายามร่วมกันจากทุกหน่วย ผู้นำทุกคน เจ้าหน้าที่กองกำลัง และหุ้นส่วนและพันธมิตรที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก”

ในการทดลองล่าสุดที่ชื่อว่าโครงการคอนเวอร์เจนซ์ เจ้าหน้าที่จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ได้เข้าร่วมกับกองกำลังร่วมของสหรัฐฯ เพื่อรวบรวมข่าวกรองที่มีการแบ่งปันกัน และทำการตัดสินใจเลือกอาวุธที่ดีที่สุดเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม การฝึกซ้อมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับบัญชาและควบคุมร่วมทุกขอบเขตแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในการรวบรวมและตีความข้อมูลด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน เป้าหมายคือการขจัดอุปสรรคทางโครงสร้างที่ขัดขวางกระแสข้อมูลและข้อเสนอแนะระหว่างหน่วยงานและชาติพันธมิตร ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานซ้ำซ้อนและการสูญเสียสินทรัพย์

การฝึกนี้จัดขึ้นเป็นเวลาสี่สัปดาห์ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม พ.ศ. 2567 โครงการคอนเวอร์เจนซ์มีผลลัพธ์ที่น่าประทับใจหลายประการ นั่นคือ เจ้าหน้าที่สามารถระบุเป้าหมายได้ในเวลาเพียงเสี้ยวเดียวของเวลาที่ใช้ตามปกติ บางครั้งอาจทำได้ภายในไม่กี่วินาที “ผมคิดว่าโครงการคอนเวอร์เจนซ์และการทำสงครามแบบจำลองของเราเป็นโอกาสอันดีในการทำให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เพียงแค่แบ่งปันกับหุ้นส่วนของเรา แต่ได้เรียนรู้จริง ๆ” พล.อ. เจมส์ อี. เรนนีย์ ผู้บัญชาการกองบัญชาการด้านอนาคตของกองทัพบกสหรัฐฯ กล่าวในงานสัมมนาและนิทรรศการกองกำลังระดับโลกของสมาคมกองทัพบกสหรัฐอเมริกาที่จัดขึ้นในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐแอละแบมา เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 “แนวคิดที่ดีที่สุดบางอย่างเกิดขึ้นนอกประเทศสหรัฐอเมริกา … ผมคิดว่าเรามีหน้าที่รับผิดชอบทางศีลธรรมที่จะต้องเรียนรู้และสังเกตทุกสิ่งที่เราสามารถทำได้”

สหรัฐฯ ยังทำงานร่วมกับพันธมิตรในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกหลายรายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในระดับภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ช่วยญี่ปุ่นจัดหาเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 ที่ผลิตในสหรัฐฯ เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าทางอากาศ อี-2ดี เครื่องบินเติมเชื้อเพลิง เคซี-46 ระบบอากาศยานไร้คนขับ โกลบอล ฮอว์ก และเครื่องบินใบพัดกระดก เวอร์ทิคัล 22 ของนาวิกโยธิน รวมถึงระบบขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยปานกลางที่ก้าวหน้า แอร์ อินเตอร์เซป มิสไซล์ 120 ระบบขีปนาวุธต่อต้านเรือ ยูจีเอ็ม-84 ฮาร์พูน และระบบสกัดกั้นป้องกันขีปนาวุธทิ้งตัว เอสเอ็ม-3 บล็อก ไอไอเอ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้เพิ่มระบบป้องกันขีปนาวุธแพทริอ็อตที่ผลิตในสหรัฐฯ เข้าไปในยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในประเทศของตน ใน พ.ศ. 2566 ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ยังได้ประกาศเปิดใช้งานกลไกการแบ่งปันข้อมูลแบบตามเวลาจริงเพื่อตรวจสอบการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และได้จัดทำแผนการฝึกทหารร่วมสามฝ่ายระยะเวลาหลายปีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการประสานงาน

ฟิลิปปินส์ยังได้เพิ่มความร่วมมือกับพันธมิตรและหุ้นส่วน รวมถึงสหรัฐฯ และเวียดนาม เพื่อตอบโต้การคุกคามอย่างต่อเนื่องของกองกำลังรักษาชายฝั่งจีนต่อเรือของกองทัพฟิลิปปินส์ภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 พล.อ. โรมิโอ บราวเนอร์ จูเนียร์ ผู้บัญชาการทหารบกฟิลิปปินส์ ได้ประกาศการยกระดับด่านทหารชั้นนอกในทะเลจีนใต้ของฟิลิปปินส์เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น สหรัฐฯ ได้ลงนามในสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันกับฟิลิปปินส์มากว่า 70 ปีแล้ว และยังได้ให้คำมั่นในการสนับสนุน อีกทั้งจะมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 4.07 พันล้านบาท (ประมาณ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปีให้กับกองกำลังของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์

“สหรัฐอเมริกาตรงกันข้ามกับจีนอย่างสิ้นเชิง เรามีพันธมิตรตามกฎหมายประมาณ 35 ประเทศ” นายแมก แครีย์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของสถาบันเลกซิงตัน ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านนโยบายสาธารณะ กล่าวในงานสัมมนาของสมาคมกองทัพบกสหรัฐอเมริกา “จีนมีพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียว และนั่นก็คือเกาหลีเหนือ ซึ่งมีลักษณะเหมือนรัฐลูกค้ามากกว่าจะเป็นพันธมิตร”

นิตยสารเซนทรีผลิตโดยกองบัญชาการยุทธศาสตร์สหรัฐฯ

แสดงความคิดเห็นที่นี่

ความเป็นส่วนตัวของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา หากคุณเลือกที่จะระบุที่อยู่อีเมลของคุณ เจ้าหน้าที่ของ ฟอรัม จะใช้เพื่อติดต่อกับคุณเท่านั้น เราจะไม่เปิดเผยหรือเผยแพร่ที่อยู่อีเมลของคุณ เฉพาะชื่อและเว็บไซต์ของคุณเท่านั้นที่จะปรากฏในความคิดเห็นของคุณ ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

Back to top button