เหล่าผู้นำอาเซียนต้องการสร้างฉันทามติในทะเลจีนใต้และสันติภาพในเมียนมา

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
ท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค ผู้นำสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียนทั้ง 10 ประเทศได้เรียกร้องให้เร่งรัดการนำหลักปฏิบัติในทะเลจีนใต้มาใช้ในการประชุมสุดยอดในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 5,350 คนและมีผู้พลัดถิ่นมากกว่า 3.3 ล้านคน นับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
ปฏิญญาว่าด้วยพฤติกรรมในทะเลจีนใต้ที่ไม่มีผลผูกพัน ซึ่งลงนามโดยสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน มีผลเพียงเล็กน้อยต่อการอ้างสิทธิ์ทางอาณาเขตตามอำเภอใจต่อเส้นทางน้ำเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน ส่งผลให้การนำหลักปฏิบัติอย่างเป็นทางการมาใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมในเส้นทางการเดินเรือสำคัญเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีลาว กล่าวในฐานะประธานการประชุมว่า อาเซียน “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและมีสาระสำคัญ” ที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศโดยเร็วที่สุด คำแถลงปิดการประชุมของนายสีพันดอนเน้นย้ำถึง “ความสำคัญของการรักษาและส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ ความปลอดภัย และเสรีภาพในการเดินเรือและการบินเหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้” คำแถลงปิดการประชุมได้เรียกร้องให้เสริมสร้างความเชื่อมั่นและมาตรการป้องกันเพื่อ “ลดความตึงเครียดและความเสี่ยงของอุบัติเหตุ ความเข้าใจผิด และการคำนวณผิดพลาด”
จีนได้ทำการขุดลอกและสร้างฐานทัพทหารบนสันดอนและสิ่งปลูกสร้างทางทะเลอื่น ๆ ในทะเล โดยจีนมักเผชิญหน้ากับเรือของประเทศอื่น ๆ รวมถึงภารกิจเติมเสบียงของฟิลิปปินส์ไปยังด่านทหารชั้นนอกบนสันดอนโทมัสที่สอง ซึ่งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษของฟิลิปปินส์ การอ้างสิทธิ์ทางทะเลของจีนขัดแย้งกับการอ้างสิทธิ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดยังได้ยืนยันฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ซึ่งเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงในเมียนมาทันที การเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างสันติ โดยมีผู้แทนจากอาเซียนเป็นผู้ช่วยเหลือ การเยือนเมียนมาของผู้แทน และการรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากอาเซียน
อาเซียนได้สั่งห้ามไม่ให้ผู้นำทหารของเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดจนกว่าจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของแผนสันติภาพ ดังนั้นเมียนมาจึงส่งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศไปเป็นตัวแทนในลาว ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
นายสีพันดอนแสดง “ความกังวลอย่างยิ่งต่อความขัดแย้งและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมาที่เพิ่มสูงขึ้น” ในรายงานเมื่อกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ระบุจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิตและกล่าวถึง “วิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้นและความไร้ซึ่งหลักนิติธรรมในเมียนมา”
นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2510 อาเซียนได้ยึดถือนโยบายว่าด้วยการไม่แทรกแซง โดยมุ่งเคารพลักษณะทางการเมืองและวัฒนธรรมของสมาชิกแต่ละประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นโยบายดังกล่าวทำให้อาเซียนไม่สามารถมีอิทธิพลต่อสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น สงครามกลางเมืองในเมียนมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“นับว่าเป็นการเลือกหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในขณะเดียวกันก็สามารถรับผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่เป็นไปได้อีกด้วย” นายมูฮัมหมัด ไฟซาล อับดุล ราห์มาน นักวิจัยแห่งวิทยาลัยนานาชาติศึกษา เอส. ราชารัตนัมของสิงคโปร์ กล่าวกับดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส
อาเซียน ซึ่งรวมถึงกัมพูชา สิงคโปร์ และไทยด้วยนั้น ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความพยายามทางการทูตในการสร้างคาบสมุทรเกาหลีที่ปลอดนิวเคลียร์ ประเทศสมาชิกได้แสดง “ความกังวลอย่างยิ่ง” เกี่ยวกับการทดสอบขีปนาวุธอย่างมิชอบด้วยกฎหมายของเกาหลีเหนือที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความตึงเครียดที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
หลังการประชุมสุดยอด ผู้นำอาเซียนได้หารือกับหุ้นส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และองค์การสหประชาชาติ หัวข้อที่พูดคุยประกอบด้วยเรื่องเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพลังงาน
นายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวต่อผู้นำอาเซียน โดยระบุว่าองค์กรของพวกเขาคือ “สะพานเชื่อมและผู้ส่งสารแห่งสันติภาพ”