ความขัดแย้ง/ความตึงเครียดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นักวิเคราะห์กล่าวว่ากองทัพเมียนมาใกล้ล่มสลายและพ้นอำนาจ

ดร. มีมี วินน์ เบิร์ด

รัฐบาลทหารเมียนมากำลังใกล้จะเผชิญกับการล่มสลาย แม้ว่านักวิเคราะห์หลายคนเคยเชื่อว่า “ใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลว” ก็ตาม เพราะต้องเผชิญกับการเริ่มต้นของการต่อต้านด้วยอาวุธของประเทศเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตย รัฐบาลทหารยึดอำนาจด้วยการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 แต่การต่อต้านอย่างต่อเนื่องของกลุ่มแนวร่วมภายใต้ปฏิบัติการ 1027 ที่ตั้งชื่อตามวันเริ่มต้นในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ได้ทำให้กองทัพอ่อนแอลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน นักวิเคราะห์กล่าว

การที่กองทัพได้สูญเสียกองบัญชาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ล่าเสี้ยวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรประมาณ 150,000 คนในรัฐฉานที่เต็มไปด้วยภูเขา เป็นการเน้นย้ำถึงสถานการณ์ที่อ่อนแอของรัฐบาลทหาร แนวร่วมการต่อต้านได้ปลดปล่อยเมืองไปกว่า 75 แห่งแล้ว และกำลังต่อสู้เพื่อปลดปล่อยอีก 75 แห่ง รวมทั้งได้ล้อมเมืองอื่น ๆ อีก 105 แห่งไว้แล้ว นั่นหมายความว่าเหลือเมืองอีกเพียงไม่ถึง 100 แห่งจากทั้งหมด 352 แห่งของประเทศ (ร้อยละ 28 ของประเทศ) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร ณ กลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ตามข้อมูลของกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย

การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันในความขัดแย้งนี้ได้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ที่เคยประเมินค่าของกองกำลังต่อต้านต่ำเกินไปในตอนแรก รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น บังกลาเทศ อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน และไทย ประเทศเหล่านั้นประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเมียนมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอย่างผิดพลาด และยังคงยึดติดกับมุมมองที่เกินจริงเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกองทัพ

ความขัดแย้งได้ทำลายภาพลวงตาเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกองทัพลงจนไม่เหลือชิ้นดี แม้ว่าจะมีทรัพยากรมากกว่า แต่รัฐบาลทหารที่เคยดูน่าหวาดหวั่นกลับกำลังถูกข่มขวัญโดยกองกำลังพิทักษ์ประชาชนและองค์กรติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์

ความทนทานและประสิทธิภาพของกองกำลังต่อต้านมาจาก 5 ปัจจัยหลัก นั่นคือ

ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์: องค์กรติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์และรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติได้จัดตั้งพันธมิตรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยรวมเอาประสบการณ์การต่อสู้เข้ากับข้อมูลเชิงลึกทางยุทธศาสตร์

การแปรพักตร์: ผู้แปรพักตร์จากกองทัพและข้าราชการพลเรือนจำนวนมากได้ให้ข้อมูลวงในที่สำคัญแก่กองกำลังต่อต้าน และทำให้ขีดความสามารถในการปฏิบัติการของรัฐบาลทหารอ่อนแอลง

การสนับสนุนจากประชาชน: การสนับสนุนอย่างแพร่หลายจากทุกภาคส่วนของสังคมเป็นส่วนสำคัญในการค้ำจุนและขยายกองกำลังต่อต้าน

การระดมพลของคนพลัดถิ่น: ชาวเมียนมาในต่างประเทศได้ระดมการสนับสนุนและทรัพยากร ซึ่งช่วยเสริมกองกำลังต่อต้านให้แข็งแกร่งขึ้น

การมีส่วนร่วมของผู้หญิง: ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินการนี้ โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของกองกำลังต่อต้านทั้งหมด

เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ในช่วงแรกจีนคาดว่ากำลังรบของทหารกองทัพเมียนมาจะทำให้รัฐบาลทหารครองอำนาจได้แน่นอน รัฐบาลจีนยังคงติดต่อกับรัฐบาลทหารเมียนมาและกดดันองค์กรติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือให้วางตัวเป็นกลาง แต่ทว่า การเกิดขึ้นของศูนย์หลอกลวงที่สนับสนุนโดยรัฐบาลทหารและกิจกรรมอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องในเมียนมาในพื้นที่ใกล้ชายแดนจีน ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีของรัฐบาลจีนไป ผู้คนหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวจีน ถูกจับเป็นตัวประกันในศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ และยังถูกบังคับให้ทำการหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต

เมื่อผลประโยชน์ของจีนตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะกิจกรรมอาชญากรรมเหล่านี้ จีนจึงหยุดกดดันไม่ให้พันธมิตรสามภราดรภาพดำเนินปฏิบัติการ 1027 เพื่อโจมตีฐานที่มั่นของรัฐบาลทหารที่อยู่ใกล้ชายแดน ปฏิบัติการดังกล่าวได้ปลดปล่อยเหยื่อจากการค้ามนุษย์หลายพันคน สร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มต่อต้านอื่น ๆ ซึ่งได้พลิกนำความได้เปรียบกลับมายังฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย และเปลี่ยนทัศนคติของรัฐบาลจีนที่มีต่อความอยู่รอดของรัฐบาลทหาร

อย่างไรก็ตาม จีนกลับมากดดันให้พันธมิตรสามภราดรภาพยอมรับข้อตกลงหยุดยิงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 แต่รัฐบาลทหารเมียนมากลับละเมิดข้อตกลงนี้ทันที และจีนไม่สามารถบังคับให้กองทัพปฏิบัติตามข้อตกลงได้

ในประวัติศาสตร์ ข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหารมักใช้เป็นช่วงเวลาหยุดพักทางยุทธศาสตร์มากกว่าการพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพอย่างแท้จริง กลยุทธ์การกดดันเช่นนี้ทำให้ประชาชนเมียนมาไม่ไว้วางใจจีน

ขณะนี้ดูเหมือนว่าจีนเองก็เริ่มสงสัยในโอกาสที่รัฐบาลทหารเมียนมาจะชนะ แต่ยังคงลังเลที่จะสนับสนุนขบวนการสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ รัฐบาลจีนกำลังกดดัน พล.อ. มิน ออง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ให้ลงจากตำแหน่ง และยังคงสนับสนุนการเลือกตั้งที่จัดโดยทหารภายใต้รัฐธรรมนูญเมียนมา พ.ศ. 2551 เป็นยุทธศาสตร์ทางออก

ในช่วงเริ่มต้นของการรัฐประหาร ประชาชนชาวเมียนมาได้ปฏิเสธรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ซึ่งให้สิทธิ์อำนาจทั้งหมดแก่กองทัพและจัดสรรที่นั่งในรัฐสภาร้อยละ 25 ให้กับกองทัพ ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 90 มุ่งมั่นที่จะถอดถอนกองทัพออกจากการเมืองและเพิ่มอำนาจการควบคุมของพลเรือนเหนือกองทัพ

หลังจากสูญเสียกองบัญชาการที่ล่าเสี้ยว รัฐบาลทหารเมียนมาได้กล่าวโทษจีนที่มอบการสนับสนุนด้านอาวุธร้ายแรงให้กับพันธมิตรสามภราดรภาพ อีกทั้งกองทัพยังพยายามกระตุ้นความรู้สึกต่อต้านจีนให้รุนแรงยิ่งขึ้น โดยการแสดงให้เห็นว่ากองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนโกก้างและเป็นสมาชิกของพันธมิตรสามภราดรภาพ เป็นกองกำลังบุกรุกที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลจีน รัฐบาลทหารได้จัดการประท้วงต่อต้านจีนในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์

ขณะเดียวกัน ชาวเมียนมาพลัดถิ่นทั่วโลกก็กำลังประท้วงการสนับสนุนของรัฐบาลจีนต่อรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนรัฐบาลทหารใน พ.ศ. 2551 และการสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการอย่างต่อเนื่อง

หากว่าจีนเชื่อว่าการเลือกตั้งที่จัดโดยทหารจะนำเสถียรภาพกลับมาได้ นั่นก็แสดงว่าจีนอาจไม่เข้าใจความรู้สึกของประชาชนเมียนมามากนัก ความพยายามของจีนที่จะเข้าข้างทุกฝ่ายอาจทำให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบกับทุกฝ่าย และยิ่งกระตุ้นความรู้สึกต่อต้านจีนในหมู่ประชาชนเมียนมามากขึ้น

หากว่าจีนยอมปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น ลดท่าทีต่อต้านประชาธิปไตย และใช้แนวทางที่ดูเป็นไปได้จริงมากขึ้นในการแก้ไขความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ จีนก็คงจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาวในเมียนมา

พ.ท. มีมี วินน์ เบิร์ด แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ผู้เกษียณอายุ เป็นศาสตราจารย์ที่ศูนย์เอเชียแปซิฟิก แดเนียล เค. อิโนะอุเอะ เพื่อการศึกษาด้านความมั่นคง ในรัฐฮาวาย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button