ทรัพยากรส่วนรวมของโลก

ดาวเทียมเตือนภัยขีปนาวุธช่วยปกป้องทรัพย์สินพันธมิตรของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง

กองบัญชาการยุทธศาสตร์สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกาใช้ดาวเทียมเพื่อสกัดกั้นขีปนาวุธของศัตรูก่อนจะถึงเป้าหมาย

ระบบอินฟราเรดในอวกาศใช้โครงข่ายดาวเทียมที่มีเซ็นเซอร์อินฟราเรดตรวจจับคลื่นความร้อนขณะปล่อยจรวด ช่วยให้สหรัฐฯ และกองกำลังพันธมิตรมีเวลาตอบโต้ เซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถตรวจจับประเภทของขีปนาวุธ ตำแหน่งการยิง และตําแหน่งเป้าหมายได้จากระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตรเหนือพื้นโลก

สหรัฐอเมริกาส่งดาวเทียมระบบอินฟราเรดในอวกาศดวงสุดท้ายจากสถานีกองทัพอากาศแหลมคะแนเวอรัลในรัฐฟลอริดา เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565
วิดีโอจาก: วอลเตอร์ ทาเลนส์/กองทัพอวกาศสหรัฐฯ

ระบบอินฟราเรดในอวกาศมีความสําคัญในภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงในตะวันออกกลาง ซึ่งกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านได้เปิดฉากโจมตีด้วยขีปนาวุธมากกว่า 150 ครั้งต่อทรัพย์สินของสหรัฐฯ และของนานาชาติ รวมทั้งเรือสินค้า

“ความสามารถในการให้สัญญาณเตือนภัยขีปนาวุธที่บอกว่า ‘มีขีปนาวุธยิงเข้ามา นี่คือตำแหน่งการยิง และนี่คือทิศทางที่มุ่งไป’ เป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปกป้องผู้คนให้ปลอดภัย พล.อ. บี. แชนซ์ ซอลท์ซแมน ผู้บัญชาการปฏิบัติการอวกาศของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ กล่าว

“เซ็นเซอร์ไม่เพียงแค่ตรวจพบความร้อน แต่ยังตรวจพบด้วยว่าความร้อนกำลังเคลื่อนที่” พล.อ. ซอลท์ซแมนกล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล “ผู้ปฏิบัติการของเราสามารถระบุลักษณะของความร้อนที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แล้วตัดสินว่าสอดคล้องกับลักษณะที่พบในขีปนาวุธทิ้งตัวชนิดใดชนิดหนึ่งหรือไม่ จากนั้นเราจะให้ข้อมูลเหล่านี้แก่ทุกคนที่สนใจ”

โครงการระบบอินฟราเรดในอวกาศจะให้ความคุ้มครองหลายชั้นต่อเนื่อง โดยการปล่อยดาวเทียมสู่วงโคจรค้างฟ้า (สัมพันธ์กับการหมุนของโลกเพื่อให้มุ่งเน้นไปที่ตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง) และวงโคจรรูปวงรีสูง (ให้การครอบคลุมพื้นที่ละติจูดสูงและขั้วโลก) “ความครอบคลุมทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง” นี้ส่งสัญญาณให้ระบบอื่น ๆ เช่น กองปืนใหญ่แพทริออตของกองทัพสหรัฐฯ หรือเรือพิฆาตของกองทัพเรือสหรัฐฯ สกัดกั้นการโจมตีด้วยขีปนาวุธ

“ระบบอินฟราเรดในอวกาศสามารถคาดการณ์ตำแหน่งตกของขีปนาวุธได้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่ามากสำหรับการลดจำนวนผู้เสียชีวิต” นายมาเซา ดาห์ลเกรน นักวิจัยโครงการป้องกันขีปนาวุธของสถาบันวิจัยนโยบายการต่างประเทศและยุทธศาสตร์ในสหรัฐฯ กล่าวกับเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล “ขีปนาวุธทิ้งตัวอาจเดินทางในระยะเหล่านี้ได้เพียงไม่กี่นาที นั่นเป็นเหตุผลที่ความสามารถเหล่านี้มีความสำคัญมาก ซึ่งสามารถตรวจจับได้จากคลื่นความร้อนของไอเสียจรวดเมื่อยิงออกมา”

ดาวเทียมระบบอินฟราเรดในอวกาศดวงสุดท้ายปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศใน พ.ศ. 2565 ระบบต่าง ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การขยายเครือข่ายดาวเทียมเตือนภัยขีปนาวุธทั่วโลกอยู่ระหว่างการพัฒนา เช่น โครงการการบัญชาการและการควบคุมวิวัฒนาการภาคพื้นดินที่พร้อมสำหรับการสู้รบในอนาคต และโครงการอินฟราเรดตรวจจับขีปนาวุธยุคใหม่ นอกจากนี้ ศูนย์สงครามสารสนเทศภาคพื้นแปซิฟิกของกองทัพเรือสหรัฐฯ จะปรับใช้สถานีรีเลย์ภาคพื้นดินเอเชียใน พ.ศ. 2568 สถานีดังกล่าวจะเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคโดยการเชื่อมต่อดาวเทียมแบบดั้งเดิมเข้ากับดาวเทียมยุคใหม่ และช่วยสหรัฐฯ พันธมิตร และหุ้นส่วนปกป้องภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

การยกระดับครั้งนี้เป็นความพยายามร่วมกันของกองทัพอวกาศ องค์การพัฒนาอวกาศ และสำนักงานป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ ได้ประกาศในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ว่าบริษัท 4 แห่งจะพัฒนาการออกแบบระบบการบัญชาการและการควบคุมวิวัฒนาการภาคพื้นดินที่พร้อมสำหรับการสู้รบในอนาคต เพื่อควบคุมดาวเทียมในวงโคจร โดยคาดว่าจะเปิดตัวต้นแบบภายใน พ.ศ. 2568 ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอินฟราเรดตรวจจับขีปนาวุธยุคใหม่ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 องค์การพัฒนาอวกาศได้เลือกบริษัท 3 แห่งเพื่อพัฒนาดาวเทียมวงโคจรต่ำ 54 ดวง ซึ่งจะส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศภายใน พ.ศ. 2570 ดาวเทียมวงโคจรระยะปานกลาง 6 ดวงได้รับการตรวจสอบการออกแบบที่สำคัญเสร็จสิ้นและมีกำหนดส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศใน พ.ศ. 2569

“โครงข่ายดาวเทียมที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น” นี้จะทำให้ระบบอินฟราเรดในอวกาศรวมทั้งโครงสร้างสนับสนุนแข็งแกร่งมากขึ้น พล.อ. ซอลท์ซแมนกล่าว “ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นกว่าเดิมอย่างมาก และศัตรูจะแทรกแซงการทำงานของดาวเทียมได้ยากกว่าเดิมมาก เนื่องจากมีดาวเทียมนับพันดวง ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองดวง”

แสดงความคิดเห็นที่นี่

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

Back to top button