การรักษาบรรทัดฐาน ระหว่างประเทศ ในน่านฟ้า
สหรัฐฯ พันธมิตร และหุ้นส่วนส่งเสริมความปลอดภัยทางอากาศ ท่ามกลางการสกัดกั้น อย่างไม่ยั้งคิดของรัฐบาลจีน

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้สกัดกั้นเครื่องบิน ซีพี-140 ออโรรา ของกองทัพแคนาดาบนน่านฟ้าระหว่างประเทศหลายครั้งในลักษณะ “อันตรายและประมาท” ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่รัฐบาลจีนละเลยเสรีภาพในการบินเหนือน่านฟ้าและความปลอดภัยของลูกเรือ ตามรายงานของเจ้าหน้าที่
กิจกรรมที่ไม่ปลอดภัยและไม่เป็นมืออาชีพดังกล่าวเสี่ยงต่อการชนกลางอากาศและอาจทวีความรุนแรงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศอธิบายว่า การสกัดกั้นที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่มากยิ่งขึ้นของสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อยืนยันการควบคุมเขตอำนาจศาลที่มากเกินไปในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนือทะเลจีนใต้
“เราอยู่ในน่านฟ้าระหว่างประเทศอย่างชัดเจน” พล.อ.ต. เอียน ฮัดเดิลสตัน แห่งกองทัพอากาศแคนาดา กล่าวกับผู้สื่อข่าว โดยระบุเพิ่มเติมว่า ตนก็อยู่บนเครื่องบินลาดตระเวนลำเช่นกันในตอนที่เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนซึ่งติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ เข้ามาในระยะ 5 เมตร ซีพี-140 ออโรรา กำลังทำการลาดตระเวนตามปกติเพื่อควบคุมดูแลเส้นทางเดินเรือในทะเลจีนตะวันออกสำหรับการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันระหว่างประเทศต่อเกาหลีเหนือ “ในครั้งล่าสุดนั้นเป็นการสกัดกั้นที่ไม่เป็นมืออาชีพ… ซึ่งเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวอย่างยิ่ง” พล.อ.ต. ฮัดเดิลสตัน กล่าว
น.อ. ร็อบ วัตต์ ผู้ช่วยทูตด้านกลาโหมของญี่ปุ่นแห่งกองทัพเรือแคนาดา ก็อยู่บนเครื่องบินลำดังกล่าวด้วยเช่นกัน ตามรายงานของสำนักข่าวซีบีซี ซึ่งเป็นหน่วยข่าวสาธารณะของแคนาดา
การสกัดกั้นเครื่องบินของสหรัฐอเมริกา พันธมิตร และหุ้นส่วนที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานโดยกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้น การสกัดกั้นอย่างใกล้ชิดดังกล่าวใช้เวลานานเกินกว่าที่จำเป็นในการระบุตัวตนเครื่องบิน ซึ่งถือเป็นรูปแบบของการคุกคามในพื้นที่สีเทาที่ทำให้ลูกเรือตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น เช่นเดียวกับเครื่องบินของบุคคลภายนอกในบริเวณใกล้เคียง
หนึ่งวันหลังจากเหตุการณ์ในแคนาดา เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขาบันทึกพฤติกรรม “บีบบังคับและสุ่มเสี่ยง” ดังกล่าวของนักบินชาวจีนที่กระทำต่อเครื่องบินของสหรัฐฯ เหนือทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ตั้งแต่ พ.ศ. 2564 ได้มากกว่า 180 ครั้ง ซึ่งมากกว่าจำนวนทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้ดำเนินการเคลื่อนที่อย่างประมาท ปล่อยแผ่นอลูมิเนียมขนาดเล็ก ยิงพลุไฟ หรือเข้ามาใกล้เครื่องบินของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วหรือใกล้เกินไปโดยรวมแล้วเกือบ 200 ครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพยายามแทรกแซงความสามารถของกองกำลังสหรัฐฯ ในการปฏิบัติการอย่างปลอดภัยในสถานที่ที่เราและทุกประเทศในโลกมีสิทธิ์ดำเนินการภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ” นายเอลี แรตเนอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการความมั่นคงอินโดแปซิฟิก กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม “และเมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์การสกัดกั้นเชิงบีบบังคับและสุ่มเสี่ยงของกองทัพปลดปล่อยประชาชนต่อประเทศอื่น ๆ ซึ่งจำนวนครั้งนั้นเพิ่มขึ้นสูงถึงเกือบ 300 ครั้งต่อเครื่องบินของสหรัฐฯ พันธมิตร และหุ้นส่วนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพและวิดีโอที่ไม่เป็นความลับชุดใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักบินเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชน พยายามขู่ขวัญนักบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในน่านฟ้าสากล และในบางกรณีก็บินเข้ามาใกล้เครื่องบินในระยะ 7 เมตร “นี่แผนการแบบรวมศูนย์และร่วมกันในการดำเนินพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงเหล่านี้เพื่อบีบบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมเชิงปฏิบัติการของสหรัฐฯ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย” นายแรตเนอร์กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกล่าวว่า ทุกประเทศสามารถปฏิบัติการทางอากาศ รวมถึงกิจกรรมการเฝ้าระวังที่ถูกต้องตามกฎหมายในน่านฟ้าระหว่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมการปฏิบัติการ การตระเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ การรักษาเสรีภาพในการบินเหนือน่านฟ้า และการระบุและบรรเทาภัยคุกคาม การสกัดกั้นที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหลายต่อหลายครั้งของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนนี้ขัดขวางและละเมิดเสรีภาพในการบินเหนือน่านฟ้า
กองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชน “สามารถและต้องหยุดพฤติกรรมนี้อย่างสิ้นเชิง” พล.ร.อ. จอห์น อาควิลิโน ผู้บัญชาการกองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิก กล่าวในระหว่างการแถลงข่าว
แต่ถึงกระนั้น เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมา นักบิน เจ-11 ของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชน ก็ได้ทำการสกัดกั้นที่เป็นอันตรายต่อเครื่องบิน บี-52 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามปกติเหนือทะเลจีนใต้ นักบินทหารชาวจีน “บินในลักษณะที่ไม่ปลอดภัยและไม่เป็นมืออาชีพ และแสดงถึงทักษะความเป็นนักบินที่ไม่ดีนักด้วยการบินเข้าใกล้ด้วยความเร็วที่สูงเกินกว่าจะควบคุม โดยบินไปด้านล่าง ด้านหน้า และเข้าใกล้ บี-52 ในระยะ 10 ฟุต ซึ่งทำให้เครื่องบินทั้งสองลำเสี่ยงต่อการปะทะกัน” ตามรายงานของกองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิก ซึ่งระบุว่านักบินของกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนดูเหมือนจะไม่ทราบว่าได้เข้าใกล้จนเกือบจะปะทะกันมากเพียงใด
นอกเหนือจากการสร้างสภาวะที่ไม่ปลอดภัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อเครื่องบินที่ปฏิบัติการอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว กองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนยังกระทำการขัดต่อข้อเสนอแนะขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติที่จัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2490 เพื่อให้คำแนะนำสำหรับการปฏิบัติการอย่างปลอดภัยของเครื่องบินในน่านฟ้าระหว่างประเทศ รวมถึงการสกัดกั้นเครื่องบินพลเรือนโดยเครื่องบินของรัฐ ทั้งนี้ยังรวมถึงการรักษาระยะห่างให้เพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน ความเป็นมืออาชีพนั้นสามารถรับรู้ได้จากการซ้อมรบแบบไม่มีการยั่วยุและทักษะความเป็นนักบินที่เหมาะสม โดยปราศจากการกระทำ คำพูด หรือท่าทีที่ก้าวร้าวอย่างโจ่งแจ้ง จีนเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกของสภาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศที่กำกับดูแลองค์กร
แม้ว่ากฎขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศจะไม่ได้ครอบคลุมถึงการเผชิญหน้าทางอากาศสู่อากาศของกองทัพ ทว่าก็ถือเป็นพื้นฐานสำหรับการทำความเข้าใจพฤติกรรมตามปกติและปลอดภัยทั่วโลก การสกัดกั้นของจีนขัดแย้งกับบันทึกความเข้าใจที่ลงนามร่วมกับสหรัฐฯ ใน พ.ศ. 2557 ที่ว่าด้วยการปฏิบัติการในลักษณะที่สอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศและหลักการที่เกี่ยวข้องในระหว่างการเผชิญหน้าทางอากาศสู่อากาศ
สหรัฐอเมริกา พันธมิตร และหุ้นส่วนยังคงส่งเสริมความจำเป็นที่ทุกประเทศจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลสำหรับการสกัดกั้นทางอากาศ เพื่อรับรองความปลอดภัยของบุคลากรและทรัพย์สิน และเพื่อรักษาสิทธิของทุกประเทศในการปฏิบัติการในน่านฟ้าระหว่างประเทศ รวมถึงการปฏิบัติการเฝ้าระวังตามกฎหมายและรักษาเสรีภาพในการบินเหนือน่านฟ้า