กลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องของจีน

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวย้ำถึงความกังวลที่มีต่อการปฏิบัติของสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อพลเรือนของตนเองและของประเทศอื่น ๆ
เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรต่าง ๆ รวมถึง ฮิวแมนไรท์วอทช์ สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และเซฟการ์ด ดีเฟนเดอร์ ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนในกรุงมาดริด ได้เผยแพร่รายงานหลายฉบับที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ “การทำโทษแบบเหมารวม” ต่อพลเมืองจีน ไปจนถึงการจัดหาเงินทุนให้กับรัฐบาลทหารในเมียนมา
“การกลืนกิน” ศาสนาให้เป็นจีน
ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้รายงานในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ว่ารัฐบาลจีนยังคงลดจำนวนมัสยิดในมณฑลหนิงเซี่ยและกานซู่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “นโยบายการรวมมัสยิด” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีเป้าหมายที่จะจำกัดกิจกรรมของศาสนาอิสลามโดยการปิดหรือทำลายมัสยิด หรือเปลี่ยนแปลงสถานที่เหล่านั้นเพื่อการใช้งานที่ไม่เกี่ยวกับทางศาสนา กลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนประเมินว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้สร้างความเสียหายหรือทำลายมัสยิดในมณฑลซินเจียงไปกว่า 2 ใน 3 ซึ่งภูมิภาคนี้มีสัดส่วนของชาวมุสลิมกว่า 20 ล้านคนของจีนอาศัยอยู่มากที่สุด มัสยิดกว่า 1,000 แห่งในมณฑลหนิงเซี่ยและกานซู่ตกเป็นเป้าหมาย จีนมีมัสยิดเกือบ 40,000 แห่งใน พ.ศ. 2557 ตามรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์
พรรคคอมมิวนิสต์จีนอ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อ “ลดภาระทางเศรษฐกิจ” ที่มีต่อชาวมุสลิม อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2559 นายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้สนับสนุนให้มีการกลืนกินศาสนาให้เป็นจีน โดยเริ่มต้นการปราบปรามซึ่งมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ภูมิภาคซินเจียงที่อยู่ทางตะวันตก พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ มากกว่า 11 ล้านคน ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่ามัสยิดที่ไม่ถูกทำลายถูกดัดแปลงเพื่อลบลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของชาวมุสลิมออก และทำให้ดูมีความเป็นจีนมากขึ้น มัสยิดบางแห่งได้รับการติดตั้งกล้องวงจรปิด ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถตรวจสอบการเข้ามัสยิดและระบุตัวบุคคลที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามัสยิดได้ ซึ่งรวมถึงสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือบุตรหลานของสมาชิกเองด้วย ประชาชนหลายคนที่ออกมาต่อต้านนโยบายการกลืนกินให้เป็นจีนนี้ต่างถูกกักตัวหรือจำคุก
การบังคับส่งกลับประเทศไปเกาหลีเหนือ
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้จีนยุติการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังได้ระบุว่าการส่งตัวกลับประเทศดังกล่าวเป็นการละเมิดหลักการห้ามผลักดันไปเผชิญอันตรายของกฎหมายสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ซึ่งยืนยันว่าต้องไม่ส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี
องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ระบุว่ารายงานเรื่องการบังคับส่งตัวกลับประเทศโดยรัฐบาลจีนนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นกังวล โดยระบุว่าผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ของเกาหลีเหนือที่ถูกส่งกลับเป็นผู้หญิง “แม้ว่าหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายแห่งจะได้ร้องขอซ้ำหลายครั้งไม่ให้กระทำเช่นนั้นแล้วก็ตาม” คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับไปยังเกาหลีเหนือและถูกระบุว่าเป็น “ผู้ทรยศ” อาจถูกจำคุกโดยไม่ผ่านกระบวนการ ถูกบังคับให้สูญหาย ถูกทรมาน และประหารชีวิต มีชาวเกาหลีเหนือถึง 600 คนที่หายตัวไปหลังจากที่ถูกจีนบังคับส่งตัวกลับประเทศ ตามรายงานของรอยเตอร์ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566
ในช่วงต้น พ.ศ. 2566 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เขียนข้อความร้องขอให้จีนยุติการบังคับส่งตัวกลับประเทศ จีนตอบโต้ด้วยการอ้างว่าผู้คนที่หลบหนีออกมาจากเกาหลีเหนือนั้นทำไปด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และถือว่าเป็นการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่ถือว่าเป็นผู้ลี้ภัย ดังนั้น หลักการห้ามผลักดันไปเผชิญอันตรายจึงใช้ไม่ได้กับกรณีนี้ รัฐบาลจีนปฏิเสธหลักฐานของการทรมานอย่างกว้างขวางในเกาหลีเหนือ
การจัดหาเงินทุนให้กับรัฐบาลทหารในเมียนมา
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เผยแพร่จดหมายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่จีนบังคับให้ทำการขับไล่พลเรือนเมียนมา ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นส่วนหนึ่งของการขยายเหมืองทองแดงเลทปะด่อง เหมืองแห่งนี้เป็นกิจการร่วมค้าระหว่างบริษัทว่านเป่า ไมน์นิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทรัฐวิสาหกิจของจีน และหน่วยงานที่ได้รับการควบคุมโดยรัฐบาลทหารของเมียนมา ซึ่งได้โค่นล้มรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศในการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ภาพจาก: ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส
บริษัทว่านเป่า ไมน์นิ่ง จำกัด ยึดพื้นที่การเกษตรไปทำเหมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นกังวลที่บริษัทว่านเป่า ไมน์นิ่ง จำกัด ร่วมมือกับรัฐบาลทหารของเมียนมาทั้งทั้งที่ทราบดีถึงการกระทำความผิดร้ายแรงในทุก ๆ วันของรัฐบาลทหารนี้ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การก่ออาชญากรรมสงคราม และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ประชาชนชาวเมียนมาหลายหมื่นคนทั่วประเทศถูกคุกคามและบีบบังคับให้ต้องออกจากหมู่บ้านของตนเอง เพื่อนำพื้นที่ไปใช้ก่อสร้างและขยายเหมือง กองทัพของรัฐบาลทหารเมียนมาได้เผาบ้านเรือนและทำให้ชาวบ้านต้องย้ายถิ่นโดยไร้ค่าชดเชยสำหรับการสร้างบ้านเรือนและไร่นาขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ รัฐบาลทหารเมียนมายังจำกัดไม่ให้ประชาชนออกไปหาอาหารและน้ำนอกหมู่บ้าน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแผนการกลับมาดำเนินกิจการต่อที่เลทปะด่องของบริษัทว่านเป่า ไมน์นิ่ง จำกัด ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาโดยตรง
การบังคับใช้แรงงานในทะเล
จีนเป็นผู้กระทำการบังคับใช้แรงงานในอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่เลวร้ายที่สุดในโลก โดยมีทั้งชาวเกาหลีเหนือ ชาวอุยกูร์ และประชาชนจากประเทศอื่น ๆ ที่ถูกกักขังให้ทำงานอยู่บนเรือติดธงชาติจีนและในโรงงานแปรรูปที่จีนเป็นเจ้าของ ตามข้อมูลจากรายงานฉบับล่าสุด
“ส่วนใหญ่แล้วจีนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกองเรือของจีนก็เป็นผู้กระทำผิดรายใหญ่ที่สุดของโลกในด้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการผลักดันให้สายพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ใกล้สูญพันธุ์” ตามรายงานของเอาต์ลอว์ โอเชียน โปรเจกต์ องค์กรสื่อสารมวลชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 “นอกจากนี้เรือของจีนยังเต็มไปด้วยปัญหาการค้าแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานขัดหนี้ ความรุนแรง ความประมาททางอาญา และการเสียชีวิต”
เรือหลายลำที่กระทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม สรรหาแรงงานจากกลุ่มประชากรที่เปราะบางและด้อยโอกาส ซึ่งอาจนำไปสู่การค้ามนุษย์ ชาวประมงประมาณ 128,000 คนทั่วโลกถูกบีบบังคับให้ใช้แรงงานบนเรือ แต่ว่าค่าประมาณนี้ “น่าจะเทียบไม่ได้เลยกับขนาดของปัญหาที่แท้จริง” ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565
หน่วยงานและองค์กรขององค์การสหประชาชาติ เช่น องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา มุ่งที่จะเสริมสร้างอำนาจให้กับรัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ เพื่อจัดการกับการกระทำในทางที่ผิดดังกล่าว รวมถึงจัดทำโครงการเพื่อติดตามผลิตภัณฑ์อาหารทะเลตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งบางครั้งก็รู้จักกันในชื่อ “จากเบ็ดสู่จาน” เพื่อรับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านแรงงาน ศุลกากร และสิ่งแวดล้อม
การลงโทษแบบเหมารวม
ภายใต้การปกครองของนายสี การใช้การลงโทษแบบเหมารวมเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เพิ่มสูงขึ้น ตามรายงานของเซฟการ์ด ดีเฟนเดอร์ กลยุทธ์นี้ประกอบไปด้วยการข่มขู่หรือการลงโทษญาติพี่น้องหรือเพื่อนของบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
จีนสั่งห้ามการลงโทษแบบเหมารวมไปเมื่อ 100 ปีก่อน แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงใช้การลงโทษเช่นนี้เพื่อมุ่งเป้าไปที่ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนและครอบครัว ตามรายงานของเซฟการ์ด ดีเฟนเดอร์ การลงโทษในที่นี้อาจรวมไปถึงการสูญเสียรายได้ บ้าน หรือการศึกษา การจำคุก หรือการต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวชโดยไม่เต็มใจ ในบางกรณียังมีการใช้ความรุนแรงและเกิดการเสียชีวิตด้วย เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามที่จะ “เกลี้ยกล่อม” ให้ชาวจีนจากประเทศอื่น ๆ กลับมา ก็จะมุ่งเป้าไปที่ญาติพี่น้องของชาวจีนเหล่านั้นที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่
เซฟการ์ด ดีเฟนเดอร์ได้พบการลงโทษแบบเหมารวมตั้งแต่ พ.ศ. 2558 ถึง พ.ศ. 2565 รวม 50 กรณี แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ได้รับการรายงาน เหยื่อของการลงโทษแบบเหมารวมนี้มีตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงคนชรา
ใน พ.ศ. 2563 เจ้าหน้าที่จีนได้ตอบโต้ครอบครัวของนายหลิว สี่ฝาง นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน หลังจากที่เขาได้หลบหนีไปยังสหรัฐฯ ภรรยาและบุตรชายอายุ 8 ปีของเขาถูกบังคับให้ต้องออกจากบ้านของตน และบุตรชายของเขาก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนด้วย ตำรวจปิดกั้นไม่ให้ภรรยาและบุตรชายของนายหลิวเดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลาสามปี บีบบังคับให้นายหลิวและภรรยาต้องหย่ากัน เพื่อให้เธอสามารถย้ายไปยังลอสแอนเจลิสเพื่อพบเจอกันได้ในที่สุด
“เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเหล่านั้น พวกเขาใช้วิธีการที่โหดร้ายเพื่อตอบโต้ผม เพราะผมสามารถหลบหนีออกมาได้” นายหลิวกล่าวกับดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส “พวกเขากำลังแสดงให้ผู้คนแบบเราเห็นว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาสามารถทำกับเราและครอบครัวของเราได้”