สภาพภูมิอากาศเรื่องเด่น

การสร้าง ความยืดหยุ่น

กองทัพในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกปรับตัวและเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อรับมือกับ ผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม | ภาพโดย ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส

เป้าหมายกำลังเคลื่อนตัวไปทางเทือกเขาฟ็อกซ์ทร็อต ซึ่งเป็นการปรับตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เนื่องจากหาดเอวาสูญเสียพื้นที่ไปให้กับการรุกคืบเข้ามาของแรงซึ่งเกิดจากการพังทลายและชะล้างของคลื่นและกระแสน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างไม่ลดละ ในช่วงต้นพ.ศ. 2566 กองกำลังได้เริ่มขยับสนามซ้อมยิงปืนพกเข้ามาภายในเกาะอีกประมาณ 40 เมตร ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการย้ายสนามซ้อมยิงปืนระยะสั้น 4 สนามที่สถานที่ฝึกอบรมสนามซ้อมยิงปืนปูอูโลอาแห่งฐานทัพนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาในรัฐฮาวาย ซึ่งเป็นที่ที่กองกำลังได้ขัดเกลาทักษะการยิงปืนของตนเองมาเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษแล้วสิ่งปลูกสร้างบนพื้นที่ 55 เฮกตาร์บนเกาะโอวาฮูฝั่งใต้ลมจะช่วยป้องกันสนามซ้อมยิงปืนจากการกัดเซาะชายฝั่ง ในขณะเดียวกันก็จำกัดความเสี่ยงในการปนเปื้อนของยุทโธปกรณ์ในมหาสมุทร

“เรามีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องรัพยากรธรรมชาติที่เราได้รับการไว้วางใจให้จัดการ” พ.ต. เจฟฟรี ฮาร์ต ผู้อำนวยการ
ฝ่ายปฏิบัติงานและปกป้องสิ่งแวดล้อมของฐานทัพฐานทัพนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาในรัฐฮาวาย ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ “ในฐานะผู้ปกป้องดูแลแผ่นดินนี้ เราต้องอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากร ในขณะเดียวกันก็รักษาประสิทธิภาพการปฏิบัติการของสถานที่ฝึกอบรมสนามซ้อมยิงปืนปูอูโลอาเพื่อให้นาวิกโยธิน สมาชิกกองกำลังร่วม และเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายได้รับการฝึกอบรมและเตรียมความพร้อม”

ตั้งแต่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพื้นที่ไกลกว่านั้น กองทัพมีส่วนร่วมในความพยายามแบบบูรณาการทุกหน่วยงานของภาครัฐในการปรับตัวและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สิ่งปลูกสร้าง เพื่อต่อต้านภัยคุกคามด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การละลายของน้ำแข็ง รวมถึงน้ำท่วมและพายุที่ทวีความรุนแรงขึ้น “ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเหล่านี้สร้างความท้าทายด้านความมั่นคงและส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ แผนการ ขีดความสามารถ ภารกิจ วัสดุ ยุทโธปกรณ์
ยานพาหนะ ระบบอาวุธ และแม้แต่บุคลากรทางกลาโหม” นายโรเบิร์ตอีแวนส์ จูเนียร์ วิศวกรแห่งทบวงทหารอากาศสหรัฐฯ เขียนไว้ในบทความเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 สำหรับวารสารกิจการอินโดแปซิฟิกของทบวงทหารอากาศสหรัฐฯ “การวางแผนภารกิจต้องมีการระบุและการประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภารกิจการบูรณาการ
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับแผนและขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงการคาดการณ์และการจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเหล่านี้เพื่อสร้างความยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของฐานทัพและระบบสนับสนุน”

นายอีแวนส์เขียนเพิ่มเติมว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ประเทศต่าง ๆ หันเหความสนใจ “ไปที่จีนและภัยคุกคามในภูมิอินโดแปซิฟิก สหรัฐอเมริกาตลอดจนพันธมิตรและหุ้นส่วนจะต้องประเมินผลกระทบและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับตัวเลือกการจัดตั้งฐานทัพทางทหาร”

การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธ์ศาสตร์

มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่การพิจารณาประเด็นดังกล่าวจะมีความเร่งด่วนเท่ากับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเกาะ 13,500 เกาะและมีประชากร 280 ล้านคน และเพิ่งเริ่มเผชิญกับงานที่ยากลำบากในการสร้างเมืองหลวงใหม่ตั้งแต่ต้น เมืองหลวงปัจจุบันอย่างกรุงจาการ์ตาที่เป็นเมกะซิตีบนเกาะชวา ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ 11.2 ล้านคนที่ระดับความสูงเฉลี่ย 8 เมตรจากระดับน้ำทะเล กำลังค่อย ๆ จมลงถึง 25 เซนติเมตรต่อปี นี่คือเหยื่อของการสกัดน้ำบาดาลโดยไร้การควบคุมและน้ำทะเลของทะเลชวาที่ไหลข้ามกำแพงกันคลื่นเข้ามา องค์การ-สหประชาชาติประมาณการว่า ภายในสองทศวรรษ พื้นที่หนึ่งในสามของกรุงจาการ์ตาจะจมลงอยู่ใต้น้ำ

เมืองหลวงใหม่แห่งนี้อยู่ห่างจากเกาะชวาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 1,400 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนที่ราบสูงในป่าของจังหวัดกาลีมันตันตะวันออกของเกาะบอร์เนียว เมื่อสร้างจนเสร็จสิ้น นูซันตารา หรือที่แปลว่า”หมู่เกาะ” ในภาษาชวา จะถือเป็นที่ตั้งของโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง รวมถึงฐานทัพสำหรับกองกำลังประมาณ 30,000 นายและกองบัญชาการกองทัพอินโดนีเซีย นักวิเคราะห์ระบุ “ข้อควรพิจารณาหลักในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและ สิ่งปลูกสร้างทางทหาร คือ ความปลอดภัยและความมั่นคงของเจ้าหน้าที่และประชาชน และประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานตามจุดประสงค์การทำงาน และรูปแบบของภัยคุกคาม” นายไครุล ฟาห์มี ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารแห่งสถาบันความมั่นคงและการศึกษายุทธศาสตร์ของรัฐบาลอินโดนีเซีย กล่าวกับ ฟอรัม “ด้วยเหตุนี้ ความพร้อมรับมือต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น พายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งปลูกสร้างทางทหาร”

สถานที่ตั้งของอินโดนีเซียอยู่ติดกับแนวที่เรียกว่าวงแหวนไฟ ซึ่งเป็นแนวการเกิดแผ่นดินไหวที่มีความยาว 40,000 กิโลเมตร ที่มีภูเขาไฟในโลกกว่าร้อยละ 75 อยู่ที่นี่ และก่อให้เกิดแผ่นดินไหวกว่าร้อยละ 90 ของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในโลก ทำให้อินโดนีเซียจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น “ความจำเป็นในการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างทางทหารในปัจจุบันให้ดีขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาด้านสภาพอากาศที่อาจเกิดขึ้น เพื่อย้ายที่ตั้งสิ่งปลูกสร้างทางทหารที่มีความเสี่ยง และเพื่อประเมินอาคารและกลยุทธ์การจัดซื้อจัดจ้างเป็นผลกระทบที่ใกล้เคียงที่สุดจากรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง” นายฟาห์มีกล่าว

ภายใน พ.ศ. 2643 เมืองสำคัญอื่น ๆ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกอาจจมลงในน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ตามรายงานของบทความในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ในวารสารเนเชอรัลไคลเมตเชนจ์ เมืองในจำนวนนั้นได้แก่ กรุงเทพฯ ในประเทศไทย เจนไนและโกลกาตาในประเทศอินเดียโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนาม มะนิลาในประเทศฟิลิปปินส์ และย่างกุ้งในเมียนมา ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามระดับน้ำ โดยความเสียหายทั่วโลกอาจสูงถึงประมาณ 196 ล้านล้านบาท (5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)ในศตวรรษนี้ ตามรายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ในขณะเดียวกัน พายุและน้ำท่วมที่เลวร้ายลงหมายความว่าอาคารและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ “ที่ออกแบบมาเพื่อทนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในรอบ 100 ปีจะมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์รุนแรงเหล่านี้เกิดบ่อยขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น” ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส ในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2566 โดยอ้างถึงการวิจัยฉบับใหม่ของนักวิทยาศาสตร์ด้านการบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติแห่งสหรัฐอเมริกา

ผลกระทบต่อภารกิจ

สถานการณ์ดังกล่าวเป็นภัยคุกคามในการทำให้ประชากรหลายสิบล้านคนต้องพลัดถิ่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดวิกฤตด้านความมั่นคงเป็นวงกว้าง และทำให้กองทัพต้องเข้มงวดมากขึ้นในการจัดการกับความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นั่นทำให้กองทัพปรับตัวเข้ากับ “ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่” ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น นางแอบบี้ ทิงสตัดผู้อำนวยการร่วมแห่งศูนย์ความยืดหยุ่นด้านสภาพภูมิอากาศของแรนด์ คอร์ปอเรชัน กล่าวกับ ฟอรัม “ฉันคิดว่าบางประเทศกำลังมองถึงผลกระทบต่อภารกิจเป็นพิเศษ ผลกระทบเหล่านี้อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงและความถี่ของประเภทภารกิจที่มีอยู่ และยังอาจรวมถึงภารกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นด้วย” นางทิงสตัด ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาภูมิศาสตร์และเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางกายภาพระดับอาวุโสแห่งสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกา กล่าว “อีกด้านหนึ่งที่กองทัพกำลังให้ความสนใจคือ … ความพร้อมและความยืดหยุ่นของมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน”

ระดับน้ำทะเลโดยรอบญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523 – 2532) โดยใน พ.ศ. 2565 มีค่าเฉลี่ยระดับน้ำทะเลสูงเป็นอันดับสองนับตั้งแต่ พ.ศ. 2449 ตามรายงานของสำนักอุตุนิยม-วิทยาญี่ปุ่น ในแง่ของสิ่งปลูกสร้างทางทหาร ฐานทัพญี่ปุ่นและสหรัฐฯ บนหมู่เกาะโอกินาวะ “เป็นหนึ่งในพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่สุดเนื่องจากการประมาณการทางวิทยาศาสตร์พบว่าระดับน้ำทะเลโดยรอบพื้นที่เหล่านั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณ 30 เซนติเมตรหรือมากกว่านั้นภายในสิ้น พ.ศ. 2643 เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2543” พล.ร.ต. อิซูมิเนะ อากิโมโตะที่เกษียณอายุราชการจากกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น และเป็นนักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันวิจัยนโยบายทางทะเลของมูลนิธิเพื่อสันติภาพซาซาคาว่า กล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะเจแปนไทมส์
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566

ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของญี่ปุ่นซึ่งได้รับการปรับปรุงเมื่อปลาย พ.ศ. 2565 ตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “จะส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการของกระทรวงกลาโหมและกองกำลังป้องกันตนเองในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงแผนการต่าง ๆสิ่งอำนวยความสะดวก ยุทโธปกรณ์ทางกลาโหม และสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงโดยรอบญี่ปุ่น … ด้วยเหตุนี้ ภายในปีงบประมาณพ.ศ. 2570 ญี่ปุ่นจะส่งเสริมมาตรการในการสร้างกองบัญชาการใต้ดิน รวมถึงการย้ายและรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในฐานทัพและค่ายขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาความยืดหยุ่นของสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะส่งเสริมการเสริมสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยพิบัติ เช่น สึนามิโดยเริ่มจากฐานทัพและค่ายที่คาดการณ์ว่าจะได้รับความเสียหายอย่างหนักและมีความสำคัญต่อปฏิบัติการ”

กระแสน้ำไหลท่วมพื้นที่โดยรอบกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียซึ่งกำลังจมลงถึง 25 เซนติเมตรต่อปี

นอกจากนี้ กองกำลังญี่ปุ่นยังได้ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และแหล่งพลังงานทดแทนอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงฟอสซิลและโครงข่ายไฟฟ้า “แนวคิดนี้คือการปรับสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารให้ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น และเสริมสร้างขีดความสามารถในการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจากการหยุดชะงักของโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ” ตามรายงานของเดอะเจแปนไทมส์

ในขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมสิงคโปร์ได้เปิดตัวศูนย์ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพความร้อนในช่วงต้น พ.ศ. 2566 เพื่อจัดการกับ “ความท้าทายระยะยาวด้านอุณหภูมิแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดการฝึกอบรมและความพร้อมในการปฏิบัติการ” ด้วยความร่วมมือระหว่างกองทัพสิงคโปร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และห้องปฏิบัติการแห่งชาติแห่งองค์กรวิทยาศาสตร์กลาโหมขององค์กรวิจัยและพัฒนาด้านกลาโหม ศูนย์แห่งนี้ได้จำลองสภาพภูมิอากาศ การประเมินผลการปฏิบัติการ และเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การฟื้นฟูเพื่อลดความเครียดจากความร้อนของกองกำลัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ ลดประสิทธิภาพการปฏิบัติการ และส่งผลต่อการตัดสินใจ นักวิจัยกำลังศึกษาเกี่ยวกับเสื้อผ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยลดความร้อนท่ามกลางความก้าวหน้าด้านอื่น ๆ

“ในขณะที่ความสนใจของการวิจัยและพัฒนามุ่งเน้นไปที่บริบททางทหาร ผลลัพธ์และแนวทางพื้นฐานที่สำคัญจะมีผลบังคับใช้
นอกกองทัพกับบริบททางทหารและพลเรือน” ตามรายงานในข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงกลาโหมสิงคโปร์

“ความมุ่งมั่นที่มีร่วมกัน”

เหล่าประเทศหุ้นส่วนกำลังร่วมมือกันเพื่อปกป้องภูมิภาคจากผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะแปซิฟิกที่ชาวบ้านชายฝั่งกำลังย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ที่สูงขึ้นเนื่องจากน้ำทะเลรุกคืบเข้าไปในชุมชนของพวกเขา ภายใต้โครงการการมีส่วนร่วมในการยกระดับภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่ประกาศเมื่อ พ.ศ. 2562 ออสเตรเลีย “พยายามที่จะมอบโครงสร้างพื้นฐานและขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงให้กับประเทศหุ้นส่วน เพื่อมีส่วนสนับสนุนในการสร้างภูมิภาคที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มีความมั่นคงทางยุทธศาสตร์มีขีดความสามารถ และมีอธิปไตยทางการเมือง” โฆษกกระทรวงกลาโหมออสเตรเลียกล่าวกับ ฟอรัม “ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกับประเทศหุ้นส่วนในแปซิฟิกเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดของออสเตรเลียเป็นไปตามมาตรฐานเฉพาะที่ช่วยยกระดับความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ … ออสเตรเลียสนับสนุนความมุ่งมั่นที่มีร่วมกันในการสร้างความยืดหยุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านการดำเนินการร่วมกัน การลงทุนในโครงสร้าง-พื้นฐานด้านความมั่นคงที่ได้รับการยกระดับทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกนี้ช่วยสนับสนุนกลไกการตอบสนองก่อนและหลังเกิดภัยพิบัติของประเทศหุ้นส่วน และการทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ”

ความมั่นคงร่วมกันยังคงเป็นรากฐานของโครงการริเริ่มระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯ ในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของสถานที่ทั้ง9 แห่งในฟิลิปปินส์ ซึ่งจะรองรับกองกำลังหมุนเวียนของสหรัฐฯ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างใหม่ทั้ง 4 แห่งที่ประกาศในช่วงต้น พ.ศ. 2566 ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหมขั้นสูงของฟิลิปปินส์และสหรัฐฯผู้เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน รัฐบาลสหรัฐฯ ลงทุนประมาณ 3.57พันล้านบาท (100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการปรับปรุงซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าจะสนับสนุนการเตรียมความพร้อมสำหรับภัยพิบัติและขีดความ-สามารถในการตอบสนองของรัฐบาลฟิลิปปินส์ สร้างงานในท้องถิ่นและยกระดับขีดความสามารถในการทำงานร่วมกันทางทหาร “สถานที่ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหมขั้นสูงแห่งใหม่เหล่านี้จะ
ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านมนุษยธรรมและภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศในฟิลิปปินส์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนการตอบสนองต่อความท้าทายที่มีร่วมกันอื่น ๆ” นายคาร์ลิโต กัลเวซ จูเนียร์ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในกระทรวงกลาโหมแห่งชาติฟิลิปปินส์ในตอนนั้น ระบุในแถลงการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นด้านการปรับตัวทางสภาพภูมิอากาศและความยืดหยุ่นนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการรณรงค์ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการสร้างและเสริมกำลังทางทหารในแนวปะการังเทียมของน่านน้ำทะเลจีนใต้ที่มีข้อพิพาท การขุดลอกฐานทัพท่ามกลางระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นอาจเป็นการกระทำที่โง่เขลา ซึ่งเป็นเรื่องเตือนใจสำหรับคนรุ่นหลังเกี่ยวกับอันตรายของความหยิ่งผยองในตนเอง “การดำเนินโครงการฟื้นฟูสภาพที่ดินในพื้นที่ซึ่งในตอนนี้อยู่ใต้น้ำเป็นส่วนใหญ่หรือในอนาคตส่วนใหญ่จะอยู่ใต้น้ำ ดูเหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง” นางทิงสตัดระบุ

การตัดสินใจ “ตามสภาพภูมิอากาศ”

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น “ภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญ” รวมถึงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการปฏิบัติการทางทหารและสิ่งปลูกสร้าง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น “และพายุที่มีความถี่และความรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้บุคคล ครอบครัวและชุมชนทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็ผลักดันขีดจำกัดของขีดความสามารถโดยรวมในการตอบ-สนองของเรา” นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุในการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ ประจำ พ.ศ. 2564 ที่กรุง-วอชิงตัน ดี.ซี. กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างแบบจำลองเชิงคาดการณ์ และการทำแผนที่คอมพิวเตอร์เพื่อปกป้องสิ่งปลูกสร้าง 5,000 แห่งทั่วโลก โดยหนึ่งในสามของสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่เสี่ยงต่อการเกิดคลื่นพายุซัดฝั่งที่รุนแรงขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

เครื่องมือประเมินสภาพภูมิอากาศของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯที่ได้รับการออกแบบโดยคณะวิศวกรแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ และเปิดตัวใน พ.ศ. 2563 ใช้ข้อมูลจากพายุเฮอริเคน ไฟป่า ภัยแล้ง น้ำท่วม และเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงอื่น ๆ ตลอดจนการวิเคราะห์ระดับน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อประเมินความเสี่ยงของสิ่งปลูกสร้างโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยสามประการ ได้แก่ การเปิดรับ ความอ่อนไหว และขีดความ-สามารถในการปรับตัว “เครื่องมือประเมินสภาพภูมิอากาศของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ช่วยให้บุคลากรในทุกระดับของกระทรวง ตั้งแต่ผู้วางแผนสิ่งปลูกสร้างไปจนถึงระดับผู้นำ ได้เข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศของแต่ละสถานที่โดยใช้ข้อมูลในอดีตและการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศในอนาคต” ตามรายงานในข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก สหรัฐฯ ได้มุ่งมั่นที่จะแบ่งปันเครื่องมือประเมินสภาพภูมิอากาศของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กับพันธมิตรซึ่งได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อีกทั้ง “ยังคงร่วมมือกับพันธมิตรและหุ้นส่วนในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อเตรียมความพร้อมด้านขีดความสามารถในการตอบสนองร่วมกันสำหรับเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ” นางเมลิสซา ดัลตัน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้านการป้องกันประเทศและกิจการครึ่งซีกโลก ระบุในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วงกลางพ.ศ. 2564 โดยระบุตามลำดับความสำคัญ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ “กำลังปลูกฝังวัฒนธรรมการตัดสินใจตามสภาพภูมิอากาศและรวมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับการประเมินภัยคุกคามงบประมาณ และการตัดสินใจในเชิงปฏิบัติการ … ตลอดจนการดูแลประชากรของเรา รวมถึงเจ้าที่ในกองทัพและพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน โดยการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของสิ่งปลูกสร้างและโครงสร้างของเราที่ผู้คนทำงานและอาศัยอยู่”

กัสดี ดา คอสตา, เจค็อบ ดอยล์ และมาเรีย ที. เรเยส ผู้สื่อข่าว ฟอรัม มีส่วนร่วมในรายงานฉบับนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button