ทรัพยากรส่วนรวมของโลกอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“วิกฤตการณ์มะละกา” เป็นความท้าทายด้านความมั่นคงครั้งสำคัญสำหรับจีน

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม

เครือข่ายพันธมิตรและหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือรอบ ๆ ช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก อาจเป็นความท้าทายด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงสำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีที่มีการปิดล้อมทางทะเล

เรือบรรทุกสินค้าร้อยละ 90 ของการค้าจีนพร้อมด้วยสินค้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จะแล่นผ่านช่องแคบมะละกาที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์และมีความยาว 800 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์กับอินโดนีเซีย ช่องแคบที่มีขนาดค่อนข้างแคบแห่งนี้เป็นเส้นทางทางทะเลที่ตัดผ่านระหว่างมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ได้ตรงที่สุด และเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อแอฟริกา ยุโรป และตะวันออกกลางกับประเทศและดินแดนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกรวมถึงจีน โดยคิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของสินค้าที่มีการซื้อขายทั่วโลกและหนึ่งในสามของการส่งมอบปิโตรเลียมทั่วโลกผ่านช่องแคบดังกล่าว ตามรายงานของนิตยสารเนชันแนล อินเทอร์เรสต์ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566

เรือบรรทุกน้ำมันทอดสมอเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ในช่องแคบมะละกา ใกล้เมืองพอร์ตกลัง ประเทศมาเลเซีย (ภาพจาก: เก็ตตี้อิมเมจ)

“สำหรับรัฐบาลจีนแล้ว นี่ถือเป็นความท้าทายที่มีแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย” ตามรายงานของวารสารกิจการระหว่างประเทศ จอร์จทาวน์ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งระบุถึงการพึ่งพาเส้นทางคมนาคมทางทะเลของจีน “แม้ว่าจีนจะมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงพยายามให้ได้มาซึ่งสิทธิ์เข้าถึงและฐานทัพทางทหาร มีชัยชนะเหนือประเทศหุ้นส่วน สร้างเส้นทางอื่น และสร้างขีดความสามารถทางทะเลของประเทศตน ทว่าวิกฤตการณ์มะละกาก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์สงครามที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง”

น่านน้ำที่แออัดแห่งนี้มีความกว้าง ณ จุดที่แคบที่สุดเพียง 2.7 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เกิดจุดอับที่เสี่ยงต่อการกระทำอันเป็นโจรสลัด การโจรกรรม และการปิดล้อม ดังนั้นการควบคุมเส้นทางเดินเรือที่สําคัญนี้จึงกลายเป็นสิ่งสําคัญที่สุด

ช่องแคบมะละกาเป็นหนึ่งในความกังวลด้านความมั่นคงหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน นายหู จิ่นเทา อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ริเริ่มแนวคิด “วิกฤตการณ์มะละกา” ใน พ.ศ. 2546 เพื่อเน้นย้ำว่าการพึ่งพาน่านน้ำส่งผลให้จีนมีช่องโหว่ที่ร้ายแรงได้อย่างไร นายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน ระบุถึงความท้าทายด้านความมั่นคงใน พ.ศ. 2557 และเรียกการปกป้องสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจว่าเป็น “รากฐาน” “นายสีนำพาความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นกับการเมืองจีนตั้งแต่การปกครองของนายเหมา เจ๋อตงให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้น” ตามรายงานของนิตยสารฟอเรนโพลิซี ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 “การยึดติดกับความมั่นคงของนายสีเผยให้เห็นความรู้สึกอันเป็นช่องโหว่ของเขาอยู่เรื่อยมา”

ความต้องการด้านทรัพยากรพลังงานที่ไม่รู้จักพอของจีนทำให้จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นจำนวนมาก และช่องแคบมะละกาก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสร้างความเชื่อมั่นในการส่งมอบเหล่านั้น ตามรายงานของเนชันแนล อินเทอร์เรสต์ โครงการโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของรัฐบาลจีนที่ครอบคลุมทางหลวง ทางรถไฟ ท่าเรือ รวมถึงท่อส่งน้ำมันและก๊าซ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นความพยายามที่จะจัดหาเส้นทางอื่น ด่านทหารชั้นนอกที่เป็นความลับและยุทธวิธีอันหนักหน่วงในทะเลจีนใต้ ตลอดจนการเพิกเฉยต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ได้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนปรารถนาที่จะควบคุมเส้นทางขนส่งสินค้าโดยรอบของช่องแคบดังกล่าว

สหรัฐอเมริการวมถึงพันธมิตรและหุ้นส่วนรับประกันความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจผ่านเส้นทางทางทะเลที่ปลอดภัยและมั่นคงอย่างช่องแคบมะละกา ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศที่มีอุดมการณ์เดียวกันที่สามารถใช้การควบคุมทางทะเลเหนือน่านน้ำได้มากกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน

“หากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาหรือประเทศต่าง ๆ ในอินโดแปซิฟิกทวีความรุนแรงขึ้น (เช่น หากจีนตัดสินใจรุกรานไต้หวัน) สหรัฐอเมริกาก็สามารถใช้ประโยชน์จากจุดอับที่สำคัญนี้ได้ด้วยการปิดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักทางการค้า ทรัพยากรพลังงาน และการลำเลียงวัตถุดิบ” ตามรายงานของเนชันแนล อินเทอร์เรสต์ “การดำเนินการนี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายของจีนอย่างมากในการทะเยอทะยานเพื่อเป็นมหาอำนาจหรือการทำสงครามในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาอันร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศตน”

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button