ความร่วมมือไตรภาคียังคงแน่วแน่และตื่นตัวหลังจากการสงบศึกในสงครามเกาหลีผ่านไป 70 ปี

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
ข้อตกลงสงบศึกที่มีการเจรจายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากการการพักรบในสงครามเกาหลีผ่านไป 70 ปี เมื่อญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกาให้คํามั่นว่าจะยับยั้งไม่ให้เกาหลีเหนือกลับมาเปิดฉากทำสงครามโดยใช้อาวุธอีกครั้ง และจะยืนหยัดต่อสู้กับรัฐอันธพาลนี้หากเกาหลีเหนือเปิดฉากโจมตีอีกครั้ง
นายพลระดับสูงของประเทศพันธมิตรได้ประชุมกันที่ฮาวายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 เนื่องจากเกาหลีเหนือ ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ได้ยิงขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีปที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง ซึ่งนับเป็นการทดสอบยิงครั้งแรกในช่วงสามเดือนหลังจากการทดลองขีปนาวุธใน พ.ศ. 2566 และ 2565 ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสามประเทศประณามการกระทำที่ยั่วยุของเกาหลีเหนือ ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของข้อผูกพันไตรภาคีเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามอย่างโจ่งแจ้งจากเกาหลีเหนือ” พล.อ. คิม ซึงกึม ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสาธารณรัฐเกาหลี และ พล.อ. โยชิฮิเดะ โยชิดะ และ พล.อ. มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ตามลำดับ ระบุไว้ในข่าวประชาสัมพันธ์ ตามรายงานของยอนฮัป
พล.อ. มิลลีย์ กล่าวในกรุงโตเกียวในอีกสองวันต่อมาว่า การยิงขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป “แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการโจมตีภาคพื้นทวีปสหรัฐอเมริกา” ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส
ในทางเทคนิคแล้ว เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังคงอยู่ในภาวะสงครามนับตั้งแต่การสงบศึกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 เพียงแต่ไม่มีการสู้รบที่รุนแรงเท่านั้น กองทัพเกาหลีเหนือได้รุกล้ำเส้นขนานที่ 38 ซึ่งเป็นพรมแดนก่อนสงครามระหว่างสองประเทศ และตั้งใจที่จะขยายระบอบคอมมิวนิสต์ไปทั่วทั้งคาบสมุทรเกาหลี เกาหลีใต้จึงตอบโต้ด้วยวิสัยทัศน์ประชาธิปไตยอันเป็นเอกภาพ สาธารณรัฐประชาชนจีนและรัสเซียอยู่ฝ่ายเดียวกับเกาหลีเหนือ ในขณะที่องค์การสหประชาชาติ สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อีกยี่สิบกว่าประเทศ ซึ่งเรียกรวมกันว่ากองบัญชาการสหประชาชาติ ได้สนับสนุนเกาหลีใต้ในช่วงสงครามหรือหลังจากการสงบศึก ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันจนสถานการณ์ถึงทางตันในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2494 และเริ่มการเจรจาพักรบในเดือนกรกฎาคม แต่เหตุการณ์นองเลือดยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลากว่าสองปีจนกระทั่งผู้นำกองทัพลงนามในข้อตกลงสงบศึก
สงครามในครั้งนั้นได้คร่าชีวิตชาวเกาหลีประมาณ 2 ล้านคน ชาวจีน 600,000 คน ชาวอเมริกัน 37,000 คน และชาวต่างชาติในกองกำลังสหประชาชาติอีก 3,000 คน โดยผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งเป็นพลเรือน ตามรายงานของสารานุกรมบริแทนนิกา ประชากรในคาบสมุทรเกาหลีของทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เสียชีวิตในสงครามรวมกันประมาณร้อยละ 10 ตามรายงานของนิตยสารฟอเรนอัฟแฟร์ส เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังคงแบ่งแยกกันด้วยเส้นแบ่งเขตทางทหารภายในเขตปลอดทหารกว้าง 4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเขตกันชนระยะทาง 241 กิโลเมตรระหว่างสองประเทศที่อาศัยอำนาจจากข้อตกลงสงบศึก ซึ่งกองบัญชาการสหประชาชาติเรียกว่าเป็นข้อตกลงที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก
เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามนิวเคลียร์และการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงไตรภาคีอันได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ได้ประกาศในเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 ว่ายินดีเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง แต่ก็ให้คำมั่นว่าจะมีการตอบโต้จากนานาชาติอย่างรุนแรงหากเกาหลีเหลือดำเนินการทดสอบนิวเคลียร์ กองทัพของทั้งสามประเทศให้คำมั่นว่าจะจัดการฝึกซ้อมปราบปรามเรือดำน้ำและป้องกันขีปนาวุธเป็นประจำเพื่อตอบโต้การรุกรานของเกาหลีเหนือ และเพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และระเบียบที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกติกาบนคาบสมุทรเกาหลีตลอดจนทั่วทั้งอินโดแปซิฟิก นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตรยังได้เน้นย้ำถึงข้อเรียกร้องในการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ตามบทสรุปของการประชุมเดือนเมษายน และสหรัฐฯ เองก็ย้ำถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ในการปกป้องญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยขีดความสามารถในการป้องกันประเทศทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์

“ทุกวันนี้คาบสมุทรเกาหลียังคงเป็นภูมิภาคที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สูง” ตามรายงานของฟอเรนอัฟแฟร์สเมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 “เกาหลีเหนือถูกปกครองโดยเผด็จการที่กดขี่ข่มเหงประชาชนของตนอย่างโหดร้ายและมักจะข่มขู่เพื่อนบ้านด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แต่ในปัจจุบัน ภาพเหตุการณ์นองเลือดในสงครามเกาหลีได้กลายเป็นความทรงจำที่เลือนลางไปแล้ว … แม้จะมีข้อบกพร่องต่าง ๆ แต่ข้อตกลงสงบศึกนี้ก็ถือว่าประสบความสําเร็จ”
ข้อเรียกร้องให้ยุติสงครามเกาหลีอย่างถาวรยังคงไม่บรรลุผล ตอนที่ข้อตกลงสงบศึกได้รับการลงนามเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว นายดไวต์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความคลุมเครือของข้อตกลงสงบศึกนี้ “เราเพิ่งจะสงบศึกได้เพียงสมรภูมิเดียว สันติภาพของโลกยังคงไม่เกิดขึ้น” นายไอเซนฮาวร์กล่าว ตามรายงานของหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ “ตอนนี้เราไม่อาจคลายความระมัดระวังหรือยุติภารกิจของเราได้”