การป้องปรามแบบบูรณาการเรื่องเด่นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อดีตผู้ก่อความไม่สงบ ยอมสละอาวุธ

อดีตกบฏในมินดาเนาปลดประจำการอาวุธเรียบร้อยแล้ว

เบนาร์นิวส์

อดีตกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ยอมสละอาวุธปืนหลายพันกระบอกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลกลางของประเทศ โดยผู้นำกลุ่มดังกล่าวได้ประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2565

นายมูรัด เอบราฮิม หรือที่รู้จักกันในชื่อ อาโฮด บาลาวัก เอบราฮิม ได้ประกาศในระหว่างเปิดการประชุมรัฐสภาในเขตปกครองตนเองบังซาโมโรในมินดาเนา ขณะที่นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เดินทางเยือนพื้นที่ทางตอนใต้ของชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นหลัก และกล่าวปราศรัยต่อฝ่ายนิติบัญญัติของภูมิภาคนี้

อดีตทหารประมาณ 5,500 คนได้วางแผนสละอาวุธกว่า 2,400 ชิ้นในช่วงสุดท้ายของการปลดประจำการ นายมูรัดกล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะรักษาแรงกระตุ้นนี้ไว้และรักษาความไว้วางใจที่คุณมอบให้เรา” นายมูรัดกล่าวในพิธีที่นายมาร์กอสเข้าร่วม

นายมูรัดรับผิดชอบดูแลอำนาจการเปลี่ยนผ่านของภูมิภาคแห่งนี้และเป็นหัวหน้าแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร ซึ่งเป็นอดีตกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธที่ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลฟิลิปปินส์เมื่อแปดปีที่แล้ว โดยข้อตกลงดังกล่าวที่ยุติการก่อความไม่สงบที่ยาวนานหลายทศวรรษของแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรระบุว่า อดีตกบฏต้องยอมสละอาวุธของตน

กระบวนการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสามระยะ โดยเริ่มต้นใน พ.ศ. 2562 แต่หยุดชะงักลงเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรได้ส่งคืนอาวุธปืนไปแล้วกว่า 5,000 กระบอก ตามตัวเลขของทางการ กระทรวงกลาโหมฟิลิปปินส์คาดว่าอดีตกองโจรมีอาวุธปืนประมาณ 40,000 กระบอก

หลังจากปลดประจำการแล้ว อดีตทหารแต่ละคนที่ส่งคืนอาวุธจะได้รับเงินสดจำนวนหนึ่ง รวมถึงเงินทุนเพื่อการศึกษา

แม้จะไม่ได้สนับสนุนนายมาร์กอสในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 แต่นายมูรัดก็ให้คำมั่นสัญญาว่าตนจะให้ความร่วมมือและสนับสนุน นายมูรัดได้กล่าวหาบิดาของนายมาร์กอสซึ่งมีชื่อเดียวกันและกองทัพที่นําโดยเผด็จการผู้ล่วงลับว่าบุกค้นพื้นที่ของชาวมุสลิมและสังหารหมู่ผู้คนในชุมชน

นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ (กลาง) พูดคุยกับนายมูรัด เอบราฮิม โดยมีนายนูร์ มิซัวรี (คนที่สามจากซ้าย) ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ระหว่างการประชุมรัฐสภาในเขตปกครองตนเองบังซาโมโรเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เก็ตตี อิมเมจ

“ความยุติธรรมทางประวัติศาสตร์ ความก้าวหน้า สันติภาพ”

นายมาร์กอสกล่าวถึงความมุ่งมั่นของตนที่จะสร้างสันติภาพในภูมิภาคนี้ “ในฐานะประธานาธิบดีของทุกท่าน ผมขอยืนยันต่อหน้าทุกท่าน หน่วยงานกำกับดูแลการเปลี่ยนผ่านของบังซาโมโร และชาวบังซาโมโรทุกท่านว่า รัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่และแน่วแน่ต่อกระบวนการสันติภาพ” นายมาร์กอสกล่าวในที่ประชุมใหญ่

“เส้นทางสู่สันติภาพที่ยั่งยืนต้องใช้เวลาในการสร้างอยู่เสมอ แต่เราจะเดินบนเส้นทางนี้ด้วยกัน และเราไม่ได้เดินบนเส้นทางนี้เพียงเพราะเป็นเรื่องง่าย เราจะเดินไปตามเส้นทางนี้ด้วยกันแม้จะมีความยากลำบาก แต่เราก็รู้ว่าปลายทางของการเดินทางนี้คือความยุติธรรมทางประวัติศาสตร์ ความก้าวหน้า สันติภาพ ความมั่นคง และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ผู้คนในประเทศของเราใฝ่ฝัน” นายมาร์กอสกล่าวเสริม

นายมาร์กอสกล่าวว่า รัฐบาลของตนจะผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและจะมีการแทรกแซงเพื่อส่งเสริมสันติภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งมานานหลายทศวรรษ “ผมสนับสนุนให้หน่วยงานกำกับดูแลการเปลี่ยนผ่านของบังซาโมโรผ่านมาตรการที่จะคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชน โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ การประมง การคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการกำกับดูแลทางอิเล็กทรอนิกส์” นายมาร์กอสกล่าว

นอกจากนี้ ผู้นำแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรยังได้เชิญนายนูร์มิซัวรี ผู้นำแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร เข้าร่วมการประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นกลุ่มที่แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรได้แยกตัวออกมาใน พ.ศ. 2521 แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโรได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับรัฐบาลใน พ.ศ. 2539 และต่อมานายมิซัวรีได้กลายเป็นผู้ว่าการเขตปกครองตนเองมุสลิม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลถือว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นความล้มเหลว

ต่อมานายมิซัวรีได้ก่อกบฏต่อรัฐบาล และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโรได้ปิดล้อมเมืองซัมโบอังกาทางตอนใต้ใน พ.ศ. 2556 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน นายโรดริโก ดูแตร์เต ผู้นำคนก่อนนายมาร์กอส เข้ารับตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2559 เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหากบฏของนายมิซัวรี เพื่อระงับความไม่พอใจของชาวมุสลิม

ในช่วงปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 นายมิซัวรียืนอยู่บนเวทีกับนายมูรัด และอดีตทหารทั้งสองคนนี้ก็สวมกอดกันต่อหน้านายมาร์กอส “เราให้คำมั่นสัญญากับแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโรว่าจะร่วมมือกันเพื่อสร้างความสามัคคีในบังซาโมโร” นายมูรัดกล่าว

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button