การป้องปรามแบบบูรณาการความขัดแย้ง/ความตึงเครียดเรื่องเด่น

ป่าวประณาม การปราบปราม

การวิพากย์วิจารณ์และการคว่ำบาตรที่รุนแรงมากขึ้นมุ่งเป้าไปที่ การปฏิบัติอันไร้มนุษยธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อชาวอุยกูร์

เจ้าหน้าที่ ฟอรัม

การกดขี่บังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์และชาวพื้นเมืองชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ยังคงเป็นฟันเฟืองให้กับภาคการผลิตของภูมิภาคซินเจียงในจีน ตามข้อมูลจากการตรวจสอบหลายครั้ง รวมทั้งรายงานที่สำคัญขององค์การสหประชาชาติด้วย การศึกษาวิจัยนี้ยังเปิดเผยให้เห็นว่า ส่วนใหญ่แล้วพรรคคอมมิวนิสต์จีนดำเนินการผ่านบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์เพื่อกดขี่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ

แม้ว่าจะมีประเทศและหน่วยงานระหว่างประเทศจำนวนมากได้ออกมาประณามพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลจีนจอมฉวยโอกาส แต่อาจจำเป็นต้องมีมาตรการที่หนักข้อขึ้นกว่านี้เพื่อลดทอนการกระทำที่เป็นการข่มเหงเช่นนี้ ซึ่งรวมไปถึงการทรมานและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตามข้อมูลจากรายงาน

“อัตลักษณ์ ศาสนา และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์และชาวเติร์กอื่น ๆ ในซินเจียง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและเป็นภัยคุกคามทางวัฒนธรรมต่อความเป็นเอกภาพของจีน” นางไอรินา บูการิน นักวิเคราะห์หลักในรายงานเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 โดยศูนย์ศึกษาด้านกลาโหมขั้นสูง ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวกับเนชันแนลพับลิกเรดิโอ “ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจีนจึงได้คุมขังชาว
อุยกูร์และบังคับให้พวกเขาอยู่ภายใต้สภาวะถูกบีบบังคับใช้แรงงาน พลัดพรากพวกเขาจากชุมชนที่พวกเขาอยู่ และส่งพวกเขาไปทำงานในทุ่งนาและโรงงานที่อยู่ห่างไกลหลายร้อยไมล์จากครอบครัว”

บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ทำหน้าที่เสมือนเป็นรัฐบาลระดับภูมิภาค องค์กรกึ่งทหาร ผู้คุมเรือนจํา บริษัทสื่อรายใหญ่ และระบบการศึกษา และเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่ใหญ่ที่สุด ตามรายงานในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 โดยศูนย์เฮเลนาเคนเนดีเพื่อความยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ มหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์แฮลลัมในสหราชอาณาจักร “รัฐบาลกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่าบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์เป็น ‘ระบบพิเศษของการผสานรวมกันของรัฐบาล กองทัพ และบริษัท’”

กลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์ตรากตรำทำงานในฟาร์มใกล้เมืองลุคชุนในซินเจียง ซึ่งเป็นที่ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนบังคับใช้แรงงานอย่างแพร่หลาย ตามรายงานของกลุ่มสิทธิ รอยเตอร์

บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ปราบปรามชาวอุยกูร์ และฉวยโอกาสใช้แรงงานพวกเขาให้ทำงานในกิจการที่จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการให้กับจีนและประเทศส่วนใหญ่ในโลก ความพยายามเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การนำของนายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้ได้อ้างว่าชาวอุยกูร์อาจสร้างความแตกหักหรือกระทั่งเป็นผู้ก่อการร้าย

ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 สามเดือนหลังจากการไปเยือนซินเจียง นางมิเชล บาเชเลต์ หัวหน้าฝ่ายสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติในตอนนั้น ได้เผยแพร่รายงานที่รอคอยมาเป็นเวลานานที่ยืนยันถึงการกักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆของจีนนั้นอาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เอกสารการประเมิน 46 หน้านี้ตั้งข้อสังเกตถึงการละเมิดสิทธิ ที่รวมไปถึงการทรมาน ซึ่งดึงความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก

รัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้นางบาเชเลต์ไม่เผยแพร่รายงานดังกล่าว อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่าผลการศึกษาวิจัยของเธอเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจากฝั่งตะวันตกในการสร้างมลทินให้กับชื่อเสียงของจีน นักการทูตจีนกล่าวว่า จีนจะไม่ร่วมมือกับสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติอีกต่อไป ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส

“สิ่งที่เกิดขึ้นในซินเจียงเป็นภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในยุคของเรา” นายเติง เปี่ยว นักวิชาการด้านกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวจีน กล่าว “สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ถูกคุมขังในค่ายกักกัน อาชญากรรมเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาก่อคือการเป็นชาวอุยกูร์ ชาวมุสลิม หรือปฏิเสธที่จะสละอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมหรือศาสนาของตนเอง เช่น ไว้เครายาว สวมผ้าคลุมหน้าในที่สาธารณะ และปฏิเสธที่จะดูโทรทัศน์ของรัฐ ปฏิเสธที่จะดื่มแอลกอฮอล์ มีลูกมากขึ้น เคยไปต่างประเทศ ทำหนังสือเดินทาง มีคัมภีร์อัลกุรอาน พูดคุยกับญาติหรือสมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ และเหตุผลอื่น ๆ ในทำนองนี้” นายเติงกล่าวในการอภิปรายเสมือนจริงของคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 นายเติงจบการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขาปรัชญากฎหมายจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และกฎหมายจีน ก่อนที่จะออกจากประเทศบ้านเกิดของเขา

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2560 รัฐบาลจีนได้คุมขังประชาชนในซินเจียงมากกว่า 1 ล้านคน และสั่งให้คนอื่น ๆ อยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง
ข้อจำกัดทางศาสนา ถูกบังคับใช้แรงงาน และการบังคับทำหมัน ตามรายงานของกลุ่มคณะวิจัยคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภาพถ่ายทางอากาศที่เผยแพร่โดยสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียแสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขตที่น่าเหลือเชื่อของเครือข่ายที่กว้างขวางของค่ายกักกันของรัฐบาลในภูมิภาคตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2560 ถึงสิงหาคม พ.ศ. 2561 เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิเสธเรื่องที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ในสถานที่ที่ตนเรียกว่าศูนย์ฝึกอาชีพแห่งนี้

มีชาวอุยกูร์ประมาณ 12 ล้านคนในภูมิภาคซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม รอยเตอร์

แรงงานผู้ถูกกักขังหลายรายอยู่ภายใต้สภาวะที่ “เทียบเท่ากับการตกเป็นทาสเพราะเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” นายโทโมยะโอโบคาตะ ผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยรูปแบบการเป็นทาสยุคใหม่ กล่าวสรุปในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565

พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการให้ชาวอุยกูร์ปฏิบัติตามรูปแบบที่เป็นมาตรฐานของอัตลักษณ์ของจีน ละทิ้งวัฒนธรรมของตน ความเชื่อทางศาสนา และความปรารถนาที่จะมีอิสระ บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ส่งเสริมให้ชาวจีนฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของชาติ ย้ายไปยังซินเจียงและพยายามเพิ่มอัตราการเกิดของเด็กให้สูงกว่าของชาวอุยกูร์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน

หลังจากได้รับฟังข้อมูลจากผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันและผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาค คณะตุลาการอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ในสหราชอาณาจักร ได้กำหนดว่าการควบคุมการเกิดและมาตรการทำหมันที่ใช้กับชาวอุยกูร์ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

นายเจฟฟรีย์ ไนซ์ ทนายความของสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นประธานการพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นก่อนคำวินิจฉัยที่ไม่มีผลผูกพันของศาลในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 กล่าวว่า ศาลพบว่าจีนดำเนินการ “นโยบายที่รอบคอบ เป็นระบบ และร่วมมือกัน” เพื่อ “การลดลงของประชากรชาวอุยกูร์และประชากรกลุ่มอื่น ๆ ในระยะยาว” ตามรายงานของบีบีซี ศาลยังพบหลักฐานของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การทรมาน และความรุนแรงทางเพศ

ศาลสรุปว่านายสีและเจ้าหน้าจีนระดับสูงคนอื่น ๆ เป็น “ตัวการสำคัญ” ในการข่มเหงชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในซินเจียง นายไนซ์กล่าว

แม้ว่าประเทศต่าง ๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ได้สั่งห้ามการนำเข้าสินค้าที่ผลิตในซินเจียง แต่มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย “เมื่อหารือถึงบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์โดยเฉพาะ เป้าหมายของบริษัทนี้ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการพาณิชย์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นพฤติกรรมกดขี่ข่มเหงของบริษัทนี้จึงมีแนวโน้มที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากผลกระทบทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว” นางนิโคล มอร์เกรต นักวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชน
จากศูนย์ศึกษาด้านกลาโหมขั้นสูง กล่าวกับ ฟอรัม

“การกำหนดให้พฤติกรรมปกติเป็นสิ่งผิดกฎหมาย”

พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำการควบคุมชีวิตในเกือบทุกแง่มุมของผู้คนในซินเจียงผ่านบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ มีกล้องรักษาความปลอดภัยอยู่ทุกแห่ง และมีการส่งเสริมผู้คนให้สอดแนมเพื่อนบ้าน “มีการเฝ้าระวังที่แพร่หลายและก้าวก่ายอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถมองเข้าไปยังบ้านเรือนต่าง ๆ และแม้กระทั่งห้องนอนของชาวอุยกูร์” นายเจมส์ ไลโบลด์ นักวิจัยอาวุโสที่สถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของออสเตรเลีย กล่าวในระหว่างกิจกรรมเสมือนจริงของคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ผู้ประท้วงนอกสถานทูตจีนในลอนดอนสนับสนุนชาวอุยกูร์ที่ถูกปราบปรามโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน รอยเตอร์

ตามข้อมูลจากรายงานหลายแหล่ง บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ได้ช่วงชิงทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมากไป และบังคับให้พวกเขาทำงานในโรงงานหรือในฟาร์มขณะที่สั่งห้ามไม่ให้พวกเขาใช้ภาษาแม่ ปฏิบัติศาสนกิจ และแต่งกายตามชาติพันธุ์ ผู้ต่อต้านถูกกักกันในค่ายทำงาน ซึ่งพวกเขาถูกปลูกฝังวัฒนธรรมชาวจีนฮั่น ชาวอุยกูร์หลายคนหายสาปสูญไปเฉย ๆ ร่องรอยการมีชีวิตอยู่ของพวกเขาถูกทำลาย การครอบครองสิ่งที่ถือว่าเป็นทรัพสินย์มีค่า เช่น ที่ดินเพาะปลูก จะถูกยึด

“ภูมิภาคนี้ ผู้คนในภูมิภาค และอัตลักษณ์ ต่างถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ร้ายแรงต่อความสมบูรณ์ทางวัฒนธรรมของจีน เสถียรภาพของพรมแดนของประเทศ และอำนาจเด็ดขาดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ตามรายงานของศูนย์เฮเลนาเคนเนดี “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงห้าปีที่ผ่านมา บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ได้มีบทบาทสำคัญในการกดขี่ขมเหงชีวิต วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์” รายงานระบุว่า กลยุทธ์ของบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ส่วนใหญ่ “เป็นวิธีการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน่วยงานและองค์กรทางการเมืองหรือบริษัท ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้กับการทำงาน การเข้าถึง และอำนาจที่กว้างขวางของบริษัทนี้”

นายเฉิน ฉวนกั๋ว หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ประจำซินเจียง ได้ออกคำสั่งใน พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2561 ให้ “ตามจับทุกคนที่ควรจะถูกจับ” ซึ่งนำไปสู่การก่อสร้างค่ายกักกันและการขยายเรือนจำ ทางการจีนได้สั่งห้ามไม่ให้นักข่าวและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจากต่างชาติเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงส่งคนไปที่เรือนจำและสถานกักกันนอกกระบวนการยุติธรรม ตามข้อมูลที่ผู้เชี่ยวชาญด้านซินเจียงกล่าวกับคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นายดาร์เรน ไบเลอร์ นักมานุษยวิทยาผู้ศึกษาเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ กล่าวกับดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ว่าผู้ถูกกักขังหลายคนไม่ได้ “ก่ออาชญากรรมที่แท้จริงภายใต้หลักเกณฑ์ใด ๆ” และถูกคุมขังโดยไม่มีกระบวนการอันสมควร “นี่เป็นการกำหนดให้พฤติกรรมปกติเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” นายไบเลอร์กล่าว

การปลูกฝังความคิดยังเกิดขึ้นนอกกำแพงสถานที่ราชการด้วย “เราควรระลึกไว้เสมอว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น… ยังมีอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมและชาติพันธุ์อื่น ๆ ในซินเจียงด้วย” นายเติงกล่าวในการอภิปรายของคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกค่ายกักกัน ชาวอุยกูร์ “ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปจากการปราบปรามที่รุนแรงขึ้น และการเฝ้าระวังแบบเผด็จการโดยทางการจีน”

กลุ่มผู้สนับสนุนอย่างแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลและฮิวแมนไรท์วอตช์กล่าวหารัฐบาลจีนว่าก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติใน
ซินเจียง การข่มเหงนั้นประกอบไปด้วยการบังคับใช้แรงงาน
การทำหมัน และการบังคับให้ปฏิบัติตามกระบวนการสร้างความกลมกลืนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งข้อจำกัดด้านการปฏิบัติทางศาสนา การปราบปรามนี้มุ่งทำให้ชาวอุยกูร์ไม่แข็งข้อและพึ่งพารัฐมากขึ้น เสมือนเป็น “ยุคแห่งความน่าสะพรึงกลัว” ตามรายงานของศูนย์เฮเลนาเคนเนดี

สถานกักกันเช่นนี้ในโฮตันใน
ซินเจียงตะวันตกเฉียงใต้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 เก็ตตี อิมเมจ

ชาวอุยกูร์คือใคร

แม้ว่าเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์จะประกอบไปด้วยอาณาเขตที่ดินของจีนเกือบหนึ่งในหก แต่มีผู้อยู่อาศัยเพียง 26 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของประชากรจีน 1.4 พันล้านคน ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวอุยกูร์ประมาณ 12 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม และยังมีกลุ่มชาติพันธ์ุอื่น ๆ และชาวจีนฮั่นที่ถูกย้ายถิ่นฐานมาด้วย ตามรายงานของบีบีซี ที่แห่งนี้ได้รับการปกครองมานานหลายทศวรรษโดยขุนศึกและระบอบการปกครองหลากหลายรูปแบบ ชาวพื้นเมืองของซินเจียงรวมกลุ่มกันอาศัยอยู่ในแหล่งที่พักพิงที่มีอยู่บางตาในหุบเขาที่สูงชันและทะเลทรายที่กว้างใหญ่

ชาวอุยกูร์ ชาวเติร์ก และกลุ่มอื่น ๆ ผู้อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณมีความผูกพันทางวัฒนธรรมและทางประวัติศาสตร์กับผู้คนในเอเชียกลางกับฝั่งตะวันตกมากกว่าชาวจีนกับฝั่งตะวันออก ในอดีต รัฐบาลจีนบางชุดได้มีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้ผ่านทางการทูตและการค้า ในขณะที่รัฐบาลบางชุดพยายามที่จะพิชิตและบังคับใช้ระบบการเมืองและสังคมของจีน ดังเช่นในซินเจียงในปัจจุบัน

หลังจากถูกพิชิตโดยจักรวรรดิชิงในศตวรรษที่ 18 ซินเจียงได้กลายเป็น “เขตปกครองตนเอง” ของจีนนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองจีนสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2492 ใน พ.ศ. 2497 จีนได้จัดตั้งบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ขึ้น ซึ่งในช่วงแรกเป็นองค์กรที่ประกอบไปด้วยอดีตทหารของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ภารกิจของบริษัทนี้ คือ ควบคุมประชาชนพื้นเมือง และใช้ประโยชน์จากแรงงานและทรัพยากรของภูมิภาคนี้ด้วย “ปืนในมือหนึ่ง” และ “คันไถในอีกมือหนึ่ง” ตามรายงานของศูนย์เฮเลนาเคนเนดี บริษัทนี้ปิดตัวลงใน พ.ศ. 2518 หลังจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของจีน บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นอีกครั้งใน พ.ศ. 2524 และมีบทบาทเพิ่มขึ้นในฐานะกลุ่มบริษัทภายใต้การควบคุมโดยตรงของรัฐบาลกลาง

การปราบปรามชาวอุยกูร์ที่เรียกร้องเอกราชใน พ.ศ. 2552 เกิดขึ้นก่อนการกระทำเชิงปราบปรามของรัฐบาลในวันนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนตีตราผู้สนับสนุนการเรียกร้องครั้งนั้นว่าเป็นผู้ก่อ การร้าย ใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวต่อการก่อการร้ายทั่วโลก ปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ ตามรายงานของเดอะสตราเตจีบริดจ์ ซึ่งเป็นวารสารออนไลน์และพอดคาสต์ขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

นับตั้งแต่การปราบปรามเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลจีนได้อ้างเหตุผลว่าเป็น “ความชั่วร้ายสามประการ” ของการแบ่งแยกดินแดนทางชาติพันธุ์ ลัทธิสุดโต่งทางศาสนา และการก่อการร้ายอย่างรุนแรง ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

ในขณะเดียวกัน บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ได้พัฒนาไปเป็นปฏิบัติการระดับโลกที่เชื่อมโยงกับบริษัทหลายพันบริษัท ความเชื่อมโยงในช่วงแรกเกี่ยวข้องกับองค์กรการเกษตรผู้ผลิตพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมทั้งฝ้าย มะเขือเทศ และพริก ตอนนี้ความสนใจของบริษัทนี้ขยายไปถึงด้านพลังงาน การทำเหมืองแร่ สารเคมี การสกัดน้ำมันและก๊าซ โลจิสติก เครื่องแต่งกาย อิเล็กทรอนิกส์ ไวน์ การแปรรูปอาหาร การประกันภัย และการท่องเที่ยว เส้นทางสำคัญของแผนการโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนนั้นตัดผ่านภูมิภาคซินเจียง ซึ่งให้การเข้าถึงตลาดในเอเชียกลางและยุโรปตะวันออก

พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการลดทอนจำนวนประชากรของชาวอุยกูร์ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซินเจียงใต้ และเหนือสิ่งอื่นใดคือต้องการลบวัฒนธรรมและศาสนาของชาวอุยกูร์ออกไป นายไลโบลด์จากสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของออสเตรเลีย กล่าวกับคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำลายมัสยิดและสุสาน และนายสีได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามในจีนจะต้องอยู่ “ในบริบทของจีน” ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 ชาวอุยกูร์ ผู้มีภาษาที่เกี่ยวข้องกับตุรกี ถูกบังคับให้เรียนภาษาจีนกลาง รวมทั้งเด็ก ๆ ที่ถูกพลัดพรากจากครอบครัวและถูกส่งไปยังโรงเรียนประจำหรือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งพวกเขาต้องอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565

“ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต ชาวอุยกูร์จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากส่วนกลางโดยบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์” ตามรายงานของศูนย์เฮเลนาเคนเนดี “โครงการวิศวกรรมสังคมที่บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ตั้งใจกำหนดให้พลเมืองที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทุกคนต้องสละมรดกทางวัฒนธรรม ภาษา และความเชื่อทางศาสนา เพื่อสนับสนุนแนวทางปฏิบัติแบบชาวจีนฮั่นและอุดมการณ์ของนายสี จิ้นผิง”

แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?

รัฐบาล ธุรกิจ และผู้บริโภคทั่วโลกช่วยให้การบังคับใช้แรงงานในซินเจียงดำเนินต่อไป แม้ว่าหลายคนจะไม่รู้ตัวก็ตาม บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ถือครองทรัพย์สินโดยตรงหรือโดยอ้อมกับบริษัทหลายหมื่นแห่งทั่วโลก ตามรายงานของผู้ให้ข้อมูลซายาริ ทำให้การระบุว่าผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ เชื่อมโยงกับบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์หรือไม่นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว “การบังคับใช้แรงงานและการข่มเหงที่ชาวเติร์กในซินเจียงต้องเผชิญไม่ได้จำกัดไว้ในขอบเขตของภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในที่อื่นในโลกด้วย ผ่านระบบการค้าและการเงินของโลก ความสัมพันธ์ระดับโลกนี้อาจทำให้เกิดรายได้มากขึ้นจากการต้องแลกมาด้วยสิทธิมนุษยชน และหากไม่มีการตอบโต้ นั่นหมายความว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนานาชาติได้ทำให้เกิดอาชญากรรมดังกล่าวขึ้นมาโดยปริยาย” ตามรายงานของศูนย์ศึกษาด้านกลาโหมขั้นสูงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565

รายงานอีกฉบับหนึ่งของศูนย์ศึกษาด้านกลาโหมขั้นสูงที่เผยแพร่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ได้สรุปไว้ว่าซินเจียงกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของจีน รายงานกล่าวว่ามีการจัดตั้งบริษัทผู้ผลิต 4,480 รายในซินเจียงเมื่อ พ.ศ. 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1,604 รายใน พ.ศ. 2552

การเติบโตของบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการควบคุมการเล่าเรื่อง ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อและการใช้ความหวาดกลัว การข่มขู่ และการเหยียดเชื้อชาติ บริษัทแห่งนี้ได้เจริญรุ่งเรืองจากความเสียหายที่มีต่อแรงงานชาวอุยกูร์ นายเติง กล่าวในการอภิปรายของคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นายโอเมียร์ เบกาลี อดีตผู้ถูกคุมขังในค่ายกักกันและเป็นชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในเนอเธอแลนด์ในปัจจุบัน กล่าวว่า ชาวจีน “ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ คืออะไร” เพราะเครื่องมือการเซ็นเซอร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน “หากคุณไม่รู้ความจริง จงพูดคุยกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ” นายเบกาลีกล่าวกับดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 “รัฐบาลควบคุมสื่อ พวกเขาพูดแต่คำโกหก”

ข้อมูลที่เชื่อถือได้และมาตรการคว่ำบาตรที่ร่วมมือกันทั่วทั้งโลกเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโปงกลยุทธ์ของบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ ตามรายงานของนิตยสารฟอเรนอัฟแฟร์สในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 “ไม่ควรมีใครต้องอยู่ภายใต้ภาพลวงตาที่ว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของรัฐบาลจีนในซินเจียงเป็นเรื่องง่าย รัฐบาลจีนไม่มีแนวโน้มที่จะยอมรับว่าตนรู้สึกถึงแรงกดดันจากนานาชาติ หรือจะเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อชาวอุยกูร์ของตน”

แม้ว่ากลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์บางคนจะวิพากษ์วิจารณ์นางบาเชเลต์ที่ไม่ประกาศให้ความโหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในซินเจียงเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ความสนใจจากนานาชาติที่เกิดขึ้นจากผลการศึกษาวิจัยของเธอก็ยังคงมีผล อยู่ “รายงานขององค์การสหประชาชาติไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่อะไรมากนักนอกจากที่เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่การที่รายงานนี้มาจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนชั้นนำของโลก และไม่ได้มาจากรัฐบาลเดียวแต่เป็นหลายร้อยรัฐบาล เป็นการมอบความโล่งใจและความหวังกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลายราย” ตามรายงานของเดอะการ์เดียน

นายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้จีนปฏิบัติตามคำแนะนำของนางบาเชเลต์ รวมถึงการปล่อยตัวชาว
อุยกูร์ที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการและเปิดเผยสถานที่ตั้งของชาวอุยกูร์ในซินเจียงที่ไม่ได้รับการติดต่อจากญาติในต่างประเทศ ตามรายงานของเรดิโอฟรีเอเชียเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 รายงานขององค์การสหประชาชาติยังเรียกร้องให้จีนตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ถูกกล่าวหาในศูนย์กักกัน

ข้อมูลที่เชื่อถือได้และมาตรการคว่ำบาตรที่ร่วมมือกันทั่วทั้งโลกเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโปงกลยุทธ์ของบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ ตามรายงานของนิตยสารฟอเรนอัฟแฟร์สในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 “ไม่ควรมีใครต้องอยู่ภายใต้ภาพลวงตาที่ว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของรัฐบาลจีนในซินเจียงเป็นเรื่องง่าย รัฐบาลจีนไม่มีแนวโน้มที่จะยอมรับว่าตนรู้สึกถึงแรงกดดันจากนานาชาติ หรือจะเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อชาวอุยกูร์ของตน”

แม้ว่ากลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์บางคนจะวิพากษ์วิจารณ์นางบาเชเลต์ที่ไม่ประกาศให้ความโหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในซินเจียงเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ความสนใจจากนานาชาติที่เกิดขึ้นจากผลการศึกษาวิจัยของเธอก็ยังคงมีผล อยู่ “รายงานขององค์การสหประชาชาติไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่อะไรมากนักนอกจากที่เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่การที่รายงานนี้มาจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนชั้นนำของโลก และไม่ได้มาจากรัฐบาลเดียวแต่เป็นหลายร้อยรัฐบาล เป็นการมอบความโล่งใจและความหวังกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลายราย” ตามรายงานของเดอะการ์เดียน

นายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้จีนปฏิบัติตามคำแนะนำของนางบาเชเลต์ รวมถึงการปล่อยตัวชาว
อุยกูร์ที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการและเปิดเผยสถานที่ตั้งของชาวอุยกูร์ในซินเจียงที่ไม่ได้รับการติดต่อจากญาติในต่างประเทศ ตามรายงานของเรดิโอฟรีเอเชียเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 รายงานขององค์การสหประชาชาติยังเรียกร้องให้จีนตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ถูกกล่าวหาในศูนย์กักกัน

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นอกจากนี้ แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในระดับปานกลาง แต่การคว่ำบาตรจากนานาชาติต่อผลิตภัณฑ์จาก
ซินเจียงจะต้องมีความรุนแรงมากกว่านี้ “มีข้อมูลและวิธีการที่จำเป็นในการรับมือกับการสนับสนุนทางการเงินของการกดขี่ในซินเจียง และถึงเวลาแล้วที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้” ตามรายงานของศูนย์ศึกษาด้านกลาโหมขั้นสูงในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 รายงานระบุว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์เข้าถึงตลาดในประเทศและตลาดระดับโลกได้หลากหลายวิธี สำนักงานสาขาของบริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ทำการค้าอย่างเปิดเผยในตลาดการเงินของจีน บริษัทซินเจียงโปรดักชันแอนด์คอนสตรักชันคอร์ปส์ยังมีสำนักงานสาขาในต่างประเทศ และทำการขายสินค้าโดยตรงให้กับบริษัทภายในประเทศและบริษัทในภูมิภาค ซึ่งป้อนผลิตภัณฑ์เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก รายงานระบุว่า “การตระหนักรู้และความใส่ใจต่อช่องทางการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจเป็นการลดการพึ่งพาช่องทางเหล่านี้ได้”

อย่างไรก็ตาม การสั่งห้ามผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นด้วยการบังคับใช้แรงงานในซินเจียงทำให้เกิดภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหากเป็นการขัดแย้งกับความต้องการภายในที่เร่งด่วนของประเทศ ลองดูที่แผงเซลล์แสงอาทิตย์เป็นกรณีตัวอย่าง จีนเป็นผู้นำด้านการจัดหาแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของโลก แต่เจ้าหน้าที่ศุลกากรของสหรัฐฯ ได้ยึดผลิตภัณฑ์ที่ผลิดขึ้นโดยจีนนับตั้งแต่ที่กฎหมายป้องกันการบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์มีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 แม้ว่าสิ่งนี้จะมีผลต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการดำเนินการความมุ่งมั่นของตนในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 เพื่อเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ ระบุว่ามีการจัดส่งมากกว่า 2,692 รายการที่อาจละเมิดข้อกำหนดของกฎหมายป้องกันการบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์ เกือบครึ่งหนึ่งของการจัดส่งดังกล่าวเป็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์หรือส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง

นี่เป็นสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่คล้ายคลึงกันกับที่หลายประเทศที่ร่วมประณามการรุกรานยูเครนโดยไร้เหตุสมควรของรัสเซียต้องเผชิญ ซึ่งประเทศเหล่านี้ก็ยังคงลังเลที่จะคว่ำบาตรน้ำมันและแร่ธาตุจากรัสเซียซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก แม้จะมีอุปสรรคดังกล่าว แต่การประสานงานกันในระดับนานาชาติแสดงให้เห็นว่าโลกจะไม่เพิกเฉยต่อการกำจัดกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดตามคำบงการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตามรายงานของนิตยสารฟอเรนอัฟแฟร์สในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 “ชาวอุยกูร์ควรได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการ”

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button