‘แรงผลักดัน’ ระดับโลก

องค์กรของ 7 ประเทศในอ่าวเบงกอลกล่าวว่า ทั้ง 7 ประเทศจะต้องใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรอื่น ๆ ของตนอย่างเร่งด่วน เพื่อจัดการกับช่องโหว่ของประเทศและร่วมกันเสริมสร้างความสามารถในการเผชิญกับภัยพิบัติ
ในคำแถลงการณ์ในวันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดเป็นเวลา 3 วัน

เมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 (ภาพ) ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาวิชาการและเศรษฐกิจ (ระบุว่า ประเทศสมาชิกได้มีมติให้ทำงานร่วมกันเพื่อต่อสู้กับความยากจน ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การระบาดใหญ่ และอาชญากรรมข้ามชาติ

นอกจากนี้ยังตกลงที่จะร่วมทำงานเพื่อความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเพื่อพัฒนาด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ตลอดจนชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19

“พัฒนาการในยุโรปช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพของระเบียบระหว่างประเทศ ซึ่งในบริบทนี้ ระเบียบระหว่างประเทศได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ความร่วมมือในภูมิภาคของความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาวิชาการและเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นายนเรนทระ โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระบุในการกล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิดีโอ ซึ่งอ้างอิงถึงการรุกรานยูเครนของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

“นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงในภูมิภาคของเรามากขึ้นด้วยเช่นกัน”

นายโมทีกล่าวว่าอินเดียจะบริจาคเงินจำนวน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 115 ล้านบาท) เพื่อฟื้นฟูศูนย์ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาวิชาการและเศรษฐกิจสำหรับสภาพอากาศและภูมิอากาศเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดการ
ภัยพิบัติ

นอกจากนี้ เหล่าผู้นำของแต่ละประเทศยังได้ลงนามในกฎบัตรของความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาวิชาการและเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการเพิ่มบทบาทขององค์กรในระดับภูมิภาคและระดับโลก

ผู้นำจากบังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เนปาล ศรีลังกา และไทยได้กล่าวปราศรัยในการประชุมสุดยอดผ่านวิดีโอ นายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาร์ รับหน้าที่เป็นผู้แทนของประเทศ ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส