กลยุทธ์แปซิฟิกของสหรัฐฯ ประกาศการมีส่วนร่วมใหม่ในภูมิภาค

ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส
เมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 สหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยยุทธศาสตร์แปซิฟิกเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ กับประเทศหมู่เกาะกว่า 12 ประเทศในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงทางทะเล พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาว่าจะขยายบทบาททางการทูตในภูมิภาคนี้
ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้เปิดเผยกลยุทธ์ รวมถึงแผนช่วยเหลือ 810 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) สำหรับประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดนเตรียมเป็นผู้นำการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกและสหรัฐฯ ณ ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ภาพ: บรรดาผู้นำยืนถ่ายภาพด้านนอกทำเนียบขาวในระหว่างการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกและสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565)
บรรดาโครงการริเริ่มต่าง ๆ ที่ทำเนียบขาวประกาศคือแผนการที่จะเรียกร้องให้รัฐสภาสหรัฐฯ ใช้เงิน 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท) ในระยะเวลา 10 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ การส่งเสริมความพยายามในการฟื้นฟูสภาพอากาศสำหรับการประมงในมหาสมุทรแปซิฟิก การกำหนดภารกิจระดับภูมิภาคของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในเมืองซูวา ประเทศฟิจิ ตลอดจนเพื่อเปิดสถานทูตในคิริบาส หมู่เกาะโซโลมอน และตองงา
นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังประกาศแผนการที่จะรับรองหมู่เกาะคุกและนีวเวเป็นรัฐอธิปไตย หลังจาก “ปรึกษาหารืออย่างเหมาะสม” องค์การสหประชาชาติรับรองสิทธิของเกาะที่ปกครองตนเองทั้งสองเกาะร่วมกับนิวซีแลนด์โดยเสรี เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศอื่น ๆ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 (พ.ศ. 2533 – 2542)
ประธานาธิบดีไบเดนกำลังเพิ่มการมีส่วนร่วมกับประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งเน้นของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ไปที่อินโดแปซิฟิก ตลอดจนความพยายามที่จะถ่วงดุลความพยายามของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการขยายอิทธิพลทางการทหารและเศรษฐกิจในภูมิภาค ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 หมู่เกาะโซโลมอนได้ลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงกับจีน ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าเป็นการปูทางให้รัฐบาลจีนเปิดฐานทัพทหารในประเทศดังกล่าว ซึ่งทั้งสองประเทศปฏิเสธ
เอกสารยุทธศาสตร์ใหม่ระบุว่า “ผลกระทบการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น” สำหรับประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกส่งผลกระทบโดยตรงต่อสหรัฐอเมริกาด้วย
“ผลกระทบที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ รวมถึง แรงกดดันและการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการขยายอิทธิพลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเสี่ยงต่อการบ่อนทำลายสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และความมั่นคงของภูมิภาคของสหรัฐอเมริกา” ตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว “ความท้าทายเหล่านี้เรียกร้องให้มีการขยายการมีส่วนร่วมของสหรัฐทั่วทั้งภูมิภาคหมู่เกาะแปซิฟิกออกไปนานกว่าเดิม”
เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้คือการเพิ่มภารกิจทางการทูตของสหรัฐฯ จาก 6 เป็น 9 แห่งทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก และหารือว่าด้วยการต่ออายุข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับหมู่เกาะมาร์แชลล์ ไมโครนีเซีย และปาเลา นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ดังกล่าวยังเรียกร้องให้มีการเพิ่มบทบาทในภูมิภาคของกองกำลังรักษาชายฝั่งสหรัฐฯ ฝ่ายบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ ตลอดจนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
บรรดาผู้นำจากหมู่เกาะคุก ฟิจิ เฟรนช์พอลินีเชีย หมู่เกาะมาร์แชลล์ ไมโครนีเซีย นิวแคลิโดเนีย ปาเลา ปาปัวนิวกินี ซามัว หมู่เกาะโซโลมอน ตองงา และตูวาลู เข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่จัดขึ้น 2 วันดังกล่าว ทำเนียบขาวรายงานว่า นาอูรูและวานูอาตูส่งผู้แทน ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และคณะเลขาธิการการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิกส่งผู้สังเกตการณ์
ภาพจาก: ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส