เรื่องเด่น

ความไม่ลดละของ จีน

ส่งผลให้อินเดียหวาดผวา ด้วยกฎหมายที่ก้าวร้าว

นายสาโรช บานา

กฎหมายว่าด้วยพรมแดนทางบกฉบับใหม่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นภัยคุกคามทางทหารต่ออินเดียด้วยคำขาดทางกฎหมาย

กฎหมายแห่งชาติฉบับแรกของจีนว่าด้วย “การคุ้มครองและการแสวงหาผลประโยชน์” ในเขตแดนของตน ได้กำหนดว่าอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน “ศักดิ์สิทธิ์และห้ามผู้ใดล่วงล้ำ” กฎหมายฉบับนี้ผ่านมติเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ระหว่างการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่ 13 และมีผลบังคับใช้เมื่อต้น พ.ศ. 2565 กฎหมายดังกล่าวเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมายของจีน ซึ่งรัฐบาลจีนได้พัฒนากฎหมายภายในประเทศขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่นโยบายต่างประเทศและนโยบายทางทหารที่แข็งกร้าวของตน

กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับพรมแดนทางบกระยะทาง 22,457 กิโลเมตรของจีนที่ติดกับ 14 ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน ภูฏาน คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ลาว มองโกเลีย เมียนมาร์ เนปาล เกาหลีเหนือ ปากีสถาน รัสเซีย ทาจิกิสถาน และเวียดนาม แต่กฎหมายฉบับนี้ส่งผลต่ออินเดียโดยตรง ทั้งนี้ เนื่องจากจีนกล่าวอ้างว่าได้ตั้งพรมแดนติดกับทั้ง 12 รัฐเหล่านี้และกำลังดำเนินการตามมติร่วมกับพุทธหิมาลัยแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับอินเดียและจีน ณ บริเวณที่ราบสูงดอกลัม

กฎหมายพรมแดนทวีความเป็นปรปักษ์ระหว่างสองประเทศที่มีกำลังอาวุธนิวเคลียร์ โดยจีนได้ก่อสถานการณ์คุกคามจนนำไปสู่ชนวนอันตราย ขณะเคลื่อนพลเข้าใกล้อินเดียตามพรมแดนหิมาลัย 3,488 กิโลเมตร ซึ่งเรียกว่าเส้นควบคุมแท้จริง

อินเดียได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมอบอำนาจให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการตอบโต้ด้วยอาวุธต่อการละเมิดพรมแดนใด ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนมอบอำนาจให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อเพิ่มโครงการพัฒนาพรมแดน นายวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบสนองต่อข้อกังวลของอินเดียโดยกล่าวว่า รัฐบาลจีน “หวังว่าประเทศที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติตามบรรทัดฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และละเว้นจากการคาดเดาที่จาบจ้วงกฎหมายภายในประเทศตามปกติของจีน”

กองกำลังจีนรื้อถอนหลุมหลบภัยของตนที่ภูมิภาคทะเลสาบปันกองในลาดักห์ ตามแนวชายแดนอินเดียกับจีน ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส

รัฐบาลจีนโต้แย้งการแบ่งเขตแดนส่วนใหญ่กับอินเดีย แม้ว่าจะมีข้อตกลงพรมแดนสามฉบับใน พ.ศ. 2536 พ.ศ. 2539 และ พ.ศ. 2556 ก็ตาม ใน พ.ศ. 2560 จีนได้มีการเผชิญหน้ากับอินเดียที่ดอกลัมเป็นเวลา 73 วัน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์วิกฤติที่สุดในรอบหลายทศวรรษ จนกระทั่งเกิดการรุกรานและการยึดครองของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 บริเวณตะวันออกของดินแดนสหภาพลาดักห์แห่งอินเดีย ณ เส้นควบคุมแท้จริงทางตะวันตกเฉียงเหนือ สงครามเต็มรูปแบบเพียงครั้งเดียวระหว่างสองประเทศเคยเกิดขึ้น โดยกินเวลาหนึ่งเดือนเมื่อ พ.ศ. 2505 กองทัพปลดปล่อยประชาชนได้ยึดทะเลทรายบนที่สูงระยะทาง 37,244 ตารางกิโลเมตรที่เรียกว่า อัคไซจิน ซึ่งอินเดียอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของลาดักห์ หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในดอกลัมเมื่อ พ.ศ. 2560 กองทัพปลดปล่อยประชาชนได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและส่งกองกำลังไปประจำการที่นั่นอย่างถาวร

หลายวันก่อนที่จะมีการออกกฎหมายพรมแดนทางบก จีนได้ตกลง “แผนงาน 3 ขั้นตอน” กับภูฏานเพื่อเร่งการเจรจาแก้ไขข้อพิพาทด้านพรมแดนที่เดือดดาลในพื้นที่กว่า 477 กิโลเมตร จีนอ้างสิทธิ์ในบางส่วนของภูฏานและไม่เคยได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ รวมถึงไม่เคยกำหนดเขตแดนของภูฏานกับทิเบต ซึ่งจีนผนวกรวมเมื่อ พ.ศ. 2494

เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 จีนได้สร้างหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภูฏาน 2 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากพื้นที่เกิดความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับจีนในดอกลัมเพียง 9 กิโลเมตร การเผชิญหน้าดังกล่าวเกิดขึ้นจากความพยายามของจีนในการขยายถนนในพื้นที่ที่ภูฏานอ้างสิทธิ์ ซึ่งมีสนธิสัญญาสันติภาพและความร่วมมือกับอินเดียตั้งแต่ พ.ศ. 2492 และมีการต่ออายุสัญญาสนธิสัญญาใน พ.ศ. 2550 ชาวอินเดียประมาณ 60,000 คน อาศัยอยู่ในประเทศภูฏาน โดยมีอีก 8,000 ถึง 10,000 คนเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศนี้ ซึ่งรวมแล้วมีประมาณ 780,000 คนต่อวันเดินทางจากเมืองพรมแดนไปยังสถานที่ทำงาน

อินเดียกลัวว่าการบุกรุกของจีนจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงยุทธวิธีของจีนที่เรียกว่า “การรุกคืบทีละน้อย” ซึ่งรัฐบาลจีนพยายามทำให้เกิดความบาดหมางผ่านดินแดนของอินเดียและภูฏานด้วยเจตนาที่จะสร้างเส้นควบคุมแท้จริงใหม่

อีกด้านหนึ่งของทะเลจีนใต้

กฎหมายพรมแดนทางบกใช้กลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในการควบคุมพรมแดน เนื่องจากจีนได้ดำเนินการภายใต้แนวทางที่เรียกว่าเส้นประเก้าเส้น ซึ่งกำหนดเขตการอ้างสิทธิ์ทางทะเลในทะเลจีนใต้ ฟิลิปปินส์ท้าทายการอ้างสิทธิ์ในภูมิภาคนี้ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล เมื่อ พ.ศ. 2559 ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินว่าการแบ่งเขตของจีนไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายและละเมิดสิทธิอธิปไตยของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับผลกระทบในทำนองเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่ภาคีของอนุญาโตตุลาการ ต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำตัดสินของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล แม้ว่าอนุญาโตตุลาการจะถือว่าเป็นที่สิ้นสุดและมีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่จีนก็ปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าว

สหรัฐอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลกได้ปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ทางทะเลของจีนในทะเลจีนใต้ ตามที่ระบุไว้ในการศึกษาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ว่าด้วย “ข้อจำกัดในทะเลหมายเลข 150” รายงานสรุปว่า “ผลกระทบโดยรวมของการอ้างสิทธิ์ทางทะเลเหล่านี้คือการที่จีนอ้างสิทธิอธิปไตยอย่างผิดกฎหมายหรือรูปแบบเขตอำนาจศาลเฉพาะเหนือทะเลจีนใต้ส่วนใหญ่ การอ้างสิทธิ์เหล่านี้บ่อนทำลายหลักนิติธรรมในมหาสมุทรและบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งสะท้อนให้เห็นในอนุสัญญานี้”

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามลวงที่เส้นควบคุมแท้จริง ซึ่งจีนได้สร้างหมู่บ้านชายแดนและค่ายทหาร “แบบใช้สองทาง” ซึ่งมีการยกระดับการตั้งถิ่นฐานของพลเรือนให้เป็นเขตทหารและสนามบินพลเรือนที่เปลี่ยนเป็นฐานทัพอากาศของกองทัพปลดปล่อยประชาชน ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงภาพการพัฒนาเหล่านี้ รวมถึงการระดมพลของกองทัพปลดปล่อยประชาชน ตามแนวเส้นควบคุมแท้จริง จีนกำลังเปิดพรมแดนเพิ่มเติมตามแนวชายแดนที่ติดกับรัฐอุตตราขัณฑ์ อรุณาจัลประเทศ และสิกขิมของอินเดีย

นอกจากนี้ อินเดียยังอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยมีกองกำลังกองทัพปลดปล่อยประชาชน 50,000 นายที่ยังคงยึดครองบางส่วนของลาดักห์ตะวันออกนับตั้งแต่การเผชิญหน้าอย่างรุนแรงกับทหารอินเดียในพื้นที่ทะเลสาบปันกองเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 กองทัพปลดปล่อยประชาชนได้กระทำการอย่างโจ่งแจ้ง โดยยึดที่มั่นบริเวณปากแม่น้ำชางเฉินโมบนชายฝั่งตอนเหนือของแม่น้ำปันกองที่มีความยาว 135 กิโลเมตร และเรียกร้องอ้างสิทธิ์ในหุบเขากัลวานทั้งหมดที่อยู่ติดกันกับอัคไซจิน สิ่งนี้เผยให้เห็นกลอุบายทางยุทธวิธีที่วางแผนไว้โดยเจตนาของกองทหารที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

รัฐบาลจีนเลือกฤดูร้อน พ.ศ. 2563 ในการบุกรุกพรมแดนเนื่องจากอินเดียเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ จีนยังอาจสังเกตเห็นช่องโหว่ทางทหาร

ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อการเจรจาระดับผู้บังคับบัญชารอบที่ 13 ล้มเหลวเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ค้างคาในลาดักห์ตะวันออกได้ แถลงการณ์ของกองบัญชาการยุทธบริเวณภาคตะวันตกแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนกล่าวหาว่า อินเดียมีข้อเรียกร้องที่ “ไม่สมเหตุสมผลและไม่เป็นจริง” ในการเจรจาที่ใช้เวลาน้อยกว่าเก้าชั่วโมง กองทัพอินเดียกล่าวตอบโต้ว่า “ในระหว่างการเจรจา ฝ่ายอินเดียได้เสนอข้อเสนอแนะในเชิงบวกเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่อื่น ๆ แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายจีนจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว และไม่สามารถเสนอข้อเสนอใด ๆ ต่อไปได้” กองทัพอินเดียกล่าวเสริมว่ารัฐบาลจีนยังได้ “พยายามแต่เพียงฝ่ายเดียว” ในการปรับเปลี่ยนสถานะเส้นควบคุมแท้จริง ตลอดจนมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อฟื้นฟูสันติภาพในภูมิภาคนี้

ก่อนการเจรจาหนึ่งวัน พล.อ. เอ็ม.เอ็ม. นาราเวนผู้บัญชาการทหารบกอินเดีย แสดงความกังวลต่อการเสริมกำลังครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่องของกองทัพปลดปล่อยประชาชนในลาดักห์ตะวันออก “หมายความว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชนประจำการอยู่ที่นั่น” พล.อ. นาราเวนกล่าว “เรากำลังจับตาดูการพัฒนาเหล่านี้อย่างใกล้ชิด หากพวกเขาประจำการอยู่ที่นั่น เราก็จะอยู่ที่นั่นเช่นกัน”

การเผชิญหน้ากันยังคงดำเนินต่อไปในช่วงปลาย พ.ศ. 2564 โดยมีกองกำลังเข้าปะทะกันในพื้นที่ทะเลทรายบริเวณเทือกเขาหิมาลัยที่รกร้างแต่เป็นจุดยุทธศาสตร์

ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชนยังคงยึดครองจุดเสี่ยงปะทะสองจุด ได้แก่ จุดลาดตระเวน 15 ในฮอตสปริงส์และพีพี17เอ ใกล้กับโก กราโพสต์ในลาดักห์ตามแนวเส้นควบคุมแท้จริง จีนได้รวบรวมกองกำลังเพิ่มเติมข้ามพรมแดนซึ่งติดอาวุธด้วยปืนใหญ่ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ โดรนต่อสู้ และยานพาหนะหนัก มีรายงานว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 บางส่วนได้ข้ามเส้นควบคุมแท้จริงเพื่อเข้ายึดที่มั่นอีกครั้งบนเทือกเขาจีนที่เคยถอนกำลังออกไปตามข้อตกลงการลดกำลังทหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 และบางส่วนเคลื่อนไปยังจุดใกล้แม่น้ำกัลวานและทะเลสาบปันกอง

ในการพูดคุยระดับทหารและการเจรจาทางการทูตทั้งหมดในประเด็นดังกล่าว อินเดียได้ยืนกรานว่าการลดระดับจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการถอนกำลังทหารโดยสมบูรณ์เท่านั้น จีนยืนกรานและกล่าวหาว่าอินเดียเป็นฝ่ายเริ่มการปะทะที่พรมแดนโดยการละเมิดเส้นควบคุมแท้จริง

ดูเหมือนจีนจะตั้งใจกดดันให้อินเดียถอนกำลังโดยเคลื่อนพลไปยังจุดเสี่ยงปะทะต่าง ๆ ตามแนวเส้นควบคุมแท้จริง ดูเหมือนว่าอินเดียจะเหลือทางเลือกเพียงเล็กน้อยแต่ก็ต้องกระทำการอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่าความบาดหมางนี้จะบานปลายกลายเป็นสงคราม

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังลำพองใจจากการตอบสนองของอินเดียหลังจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้สังหารทหารอินเดีย 20 นายทางตะวันออกของลาดักห์เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามจีน-อินเดียเมื่อ พ.ศ. 2505 ในช่วงปลาย พ.ศ. 2563 รัฐบาลอินเดียได้ตอบโต้ด้วยการประกาศสั่งห้ามแอปที่มาจากจีน 267 แอปซึ่งกระตุ้นให้มีการงดเว้นสื่อสังคมออนไลน์ของอินเดีย “จีนเปลี่ยนแผนที่ของเรา เราจึงประกาศสั่งห้ามแอปของจีน”

แม้ว่าจีนกำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารอย่างเอาจริงเอาจังที่เส้นควบคุมแท้จริง แต่จีนไม่พึงพอใจต่อกิจกรรมใด ๆ ที่อินเดียเรียกร้อง เช่น การเปิดตัวสะพานยาว 50 เมตรบนถนนเลห์-โลมา ซึ่งกระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าวว่าจะทำให้มั่นใจได้ว่า “การเคลื่อนระบบอาวุธหนักจะไร้อุปสรรค รวมทั้งปืน รถถัง และอุปกรณ์พิเศษอื่น ๆ”

ความสุ่มเสี่ยงของจีนอาจมีต้นกำเนิดมาจากการดูหมิ่นความสำเร็จของอินเดียสำหรับการสร้างถนนสายดาร์บุค-ชยอค-ดอลัทเบกโอลดีที่มีความยาว 255 กิโลเมตร ใน พ.ศ. 2562 ซึ่งมีระดับความสูงระหว่าง 4,000 ถึง 5,000 เมตร และมีการปรับปรุงการเชื่อมต่อตามแนวยาว 1,147 กิโลเมตรของเส้นควบคุมแท้จริงในลาดักห์ตะวันออก ถนนสายนี้ทอดตัวไปยังสนามบินขนาดเล็กและฐานทัพทหารที่สูงที่สุดในโลกของอินเดียที่ดอลัทเบกโอลดี ซึ่งทอดตัวยาว 12 กิโลเมตรในทางใต้ของทางผ่านยุทธศาสตร์คาราโครัมที่มีความสูง 5,540 เมตร และทางเหนือของอัคไซจินบนเขตแดนระหว่างลาดักห์และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน ถนนดังกล่าวอยู่ห่างจากเฉินเซียนหว่านเพียง 7 กิโลเมตรทางเหนือ ซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นของกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่เข้มงวดที่สุดในประเทศจีน

มีรายงานว่า องค์กรถนนชายแดนแห่งกระทรวงกลาโหมอินเดียกำลังสร้างถนนที่มีความสำคัญในการดำเนินงานตามแนวชายแดนกับจีน 70 สาย ตลอดจนขยายและเสริมความแข็งแกร่งของถนนที่มีอยู่ รวมถึงการสร้างลานจอดรถ อุโมงค์ และสะพานต่าง ๆ

ในทางกลับกัน จีนได้สร้างถนนที่มีความยาว 36 กิโลเมตรในหุบเขาชัคส์กัมที่มีขนาด 5,163 ตารางกิโลเมตร ซึ่งได้รับการยินยอมจากปากีสถานอย่างผิดกฎหมายเมื่อ พ.ศ. 2506 ขณะที่อินเดียโต้แย้งอาณาเขตดังกล่าว

เครื่องบินขับไล่ของอินเดียบินข้ามเทือกเขาในเมืองเลห์ ภูมิภาคลาดักห์ รอยเตอร์

เส้นทางลาดักห์

จีนไม่พึงพอใจอย่างมากที่อินเดียยกเลิกมาตรา 370 และ 35ก เมื่อ พ.ศ. 2562 ซึ่งส่งผลให้เกิดการจัดระเบียบรัฐชายแดนของจัมมูและแคชเมียร์ที่ลาดักห์ถือเป็นส่วนหนึ่งในขณะนั้น เพื่อนำเรื่องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเมืองของลาดักห์ เนื่องจากจีนพิจารณาว่าภูมิภาคดังกล่าวมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ อินเดียปฏิเสธจีน โดยถือว่าสถานะใหม่ของลาดักห์เป็น “เรื่องภายใน” ที่ “ไม่มีนัยยะสำหรับเขตแดนภายนอกของอินเดียหรือเส้นควบคุมแท้จริงกับจีน” อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “การแก้ไขกฎหมายภายในของฝ่ายอินเดียเพียงฝ่ายเดียวเมื่อไม่นานมานี้ยังคงบ่อนทำลายอำนาจอธิปไตยในดินแดนของจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้และจะไม่มีผลใด ๆ”

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้แสดงความไม่พอใจต่อคำยืนยันของนายอามิต ชาห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐสภาอินเดีย ซึ่งระบุว่า “แคชเมียร์เป็นส่วนสำคัญของอินเดีย ผมต้องการที่จะชี้แจงให้ชัดเจนว่าทุกครั้งที่เรากล่าวถึงจัมมูและแคชเมียร์ เราหมายถึงแคชเมียร์ที่ถูกยึดครองโดยปากีสถาน รวมถึงกิลกิต-บัลติสถานและอัคไซจินอีกด้วย จงอย่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ จัมมูและแคชเมียร์ทั้งหมดถือเป็นส่วนสำคัญของสหภาพอินเดีย”

กิลกิต-บัลติสถานเชื่อมต่อกับระเบียงเศรษฐกิจระหว่างจีนกับปากีสถาน โดยได้รับทุนสนับสนุนจากการลงทุนของจีนมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) และเป็นเป้าหมายหลักของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน จากมุมมองของรัฐบาลจีน ความพยายามใด ๆ ของอินเดียในการเข้าครอบครองแคชเมียร์ที่ถูกยึดครองโดยปากีสถานหรือกิลกิต-บัลติสถานจะเป็นตัวบ่อนทำลายระเบียงเศรษฐกิจระหว่างจีนกับปากีสถาน ซึ่งนายสีได้เดิมพันศักดิ์ศรีส่วนบุคคลของตน เนื่องจากจะทำให้จีนสามารถเข้าถึงมหาสมุทรอินเดียผ่านทางท่าเรือกวาดาร์ของปากีสถานได้ อินเดียโต้แย้งว่า ระเบียงเศรษฐกิจระหว่างจีนกับปากีสถานได้ละเมิดอำนาจอธิปไตยในดินแดนของตนผ่านทาง กิลกิต-บัลติสถาน

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 นายชาห์ยังออกคำเตือนที่เข้มงวดต่อศัตรูของอินเดียไม่ให้ “เลียบเคียง” พรมแดนของประเทศ โดยยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวจะได้รับการตอบสนองด้วย “การเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างเหมาะสมจากอินเดีย”

รัฐบาลจีนถูกยั่วยุอย่างเห็นได้ชัดจากคำพูดดังกล่าว โดยรวมแล้ว การรุกรานทางทหารต่ออินเดียไม่ได้เป็นเพียงเชิงยุทธวิธีเท่านั้น แต่มีเจตนาเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งบรรลุวัตถุประสงค์ระยะยาวอีกด้วย ท้ายที่สุดแล้ว ความเคลื่อนไหวของกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้รับการกำกับดูแลโดยผู้นำระดับสูงของคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีนายสีเป็นประธาน

ขบวนรถถังถอยกลับจากริมฝั่งทะเลสาบปันกองในลาดักห์ตามแนวชายแดนอินเดียกับจีน ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส

การทูตที่เกิดขึ้นใหม่

นายนิโคลัส เบิร์นส์ นักการทูตทหารผ่านศึกแห่งสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ว่า การประสานผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และอินเดียในอินโดแปซิฟิก “สร้างความแตกต่างอย่างมาก” ในแง่ของความท้าทายที่เกิดจากจีน “อย่างที่ทราบกัน และผมคิดว่าทุกรัฐบาลนับตั้งแต่ประธานาธิบดีคลินตันได้ดำเนินการเรื่องนี้ เรามีพันธมิตรด้านความมั่นคงรายใหม่ในอินเดีย” นายเบิร์นส์กล่าวระหว่างการพิจารณาการแต่งตั้งในฐานะผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน จากนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “ซึ่งนั่นก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในการทำให้ผลประโยชน์ของอินเดียและอเมริกาสอดคล้องกันอย่างชัดเจนตามยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”

ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ความไม่ไว้วางใจระหว่างจีนและอินเดียกลับเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน พล.ร.อ. จอห์น ซี. อาควิลิโน ผู้บัญชาการกองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโดแปซิฟิก กล่าวในระหว่างการพิจารณาการแต่งตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ต่อหน้ากรรมาธิการทางทหารของวุฒิสภาสหรัฐฯ เขากล่าวชื่นชมความพยายามของอินเดียในการปกป้องชายแดนทางตอนเหนือขณะเผชิญหน้ากับจีน ในคำให้การของตน ตามรายงานของซีเอ็นบีซี

“ความไม่ไว้วางใจต่อกันระหว่างจีนและอินเดียพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นอกเหนือจากการแตกร้าวของความสัมพันธ์แบบทวิภาคีอันเป็นผลมาจากการปะทะกันบนเส้นควบคุมแท้จริง อินเดียยังมีความสงสัยอย่างมากต่อการกระทำของจีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’” พล.ร.อ. อาควิลิโนกล่าว

“โครงการริเริ่มการแสดงท่าทีของจีนทั้งในกวาดาร์ ปากีสถาน และฮัมบันโตตา ศรีลังกา ยังก่อให้เกิดความกังวลในอินเดียเช่นกัน เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นทั่วภูมิภาคอินโดแปซิฟิก การขาดความโปร่งใสและการกระทำที่ซ้ำซ้อนของจีนในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียถือเป็นการคุกคามเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้” พล.ร.อ. อาควิลิโนระบุในการตอบคำถามจากวุฒิสมาชิกเพื่อการพิจารณาการแต่งตั้ง

การกระทำล่าสุดของจีนได้ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับทุกชาติ และความจำเป็นด้านความร่วมมือมากยิ่งขึ้นระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ พล.ร.อ. อาควิลิโนกล่าว พล.ร.อ. อาควิลิโนกล่าวเสริมว่า “ข้อสรุปของข้อตกลงที่ใช้งานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เราสามารถดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น อีกทั้งเรายังสามารถทำงานร่วมกันได้มากกว่าที่เคยเป็นมา เพื่อรักษาความมั่นคงของอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” โดยอ้างอิงการเติบโตอย่างต่อเนื่องในการมีส่วนร่วมระดับทวิภาคีและพหุภาคี การดำเนินงานร่วมกันที่น่าจับตามอง และการเพิ่มจำนวนการมีส่วนร่วมระดับสูงกับอินเดีย ตามรายงานของซีเอ็นบีซี

ภัยคุกคามทางทหารจากจีนได้กลายเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาสำหรับอินเดีย ท้ายที่สุดแล้ว วิธีก่อตั้งประเทศจะกำหนดจุดยืนของตนในประชาคมโลก ตลอดจนสถานะของตนในพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button