เครื่องบินขับไล่ล่องหน ขีปนาวุธร่อน อาวุธความเร็วเหนือเสียง มีความสำคัญสูงสุดในด้านกลาโหมของญี่ปุ่น

รายงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมและสื่อระบุว่า อุตสาหกรรมกลาโหมของญี่ปุ่นจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน พ.ศ. 2565 เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเร่งดำเนินการดังกล่าวยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการพึ่งพาตนเองของประเทศในด้านกลาโหม

เครื่องบินขับไล่ล่องหน ขีปนาวุธร่อนพิสัยไกล โดรนต่อสู้ไร้คนขับ และอาวุธความเร็วเหนือเสียง อยู่ในรายการอันดับต้น ๆ ของผลิตภัณฑ์ขั้นสูงที่กำลังพัฒนา ในขณะเดียวกัน สำนักงานแห่งใหม่ภายในกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นจะคอยชี้แนะและสนับสนุนอุตสาหกรรมกลาโหมของประเทศ

นายโนบุโอะ คิชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น กล่าวในการแถลงข่าวส่งท้ายปีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ว่า “เนื่องจากสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของนวัตกรรมทางเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการรักษาและเสริมสร้างอุตสาหกรรมกลาโหมและฐานเทคโนโลยีเพื่อให้การป้องกันของญี่ปุ่นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

นายคิชิกล่าวว่า สำนักงานนโยบายอุตสาหกรรมกลาโหมแห่งใหม่จะเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายนโยบายอุปกรณ์ของสำนักงานจัดหาเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ของญี่ปุ่น เป้าหมายที่ครอบคลุมคือ “รักษา เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และฟื้นฟูขีดความสามารถในการแข่งขันและความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมกลาโหม”

เอกสารของหน่วยงานระบุว่า เอทีแอลเอได้ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2558 หนึ่งปีหลังจากที่มีการยกเลิกข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นเกี่ยวกับการส่งออกอาวุธ เพื่อยกระดับภาคกลาโหมของประเทศโดยการส่งเสริมการวิจัยทางเทคโนโลยี การพัฒนา และการค้ากับประเทศที่เป็นมิตร ผู้ผลิตด้านกลาโหมชั้นนำของญี่ปุ่นร่วมมือกับเอทีแอลเอเพื่อพัฒนายุทโธปกรณ์ทางกลาโหม

เครื่องบินขับไล่ล่องหนเอฟ-เอ็กซ์ หรือที่รู้จักในชื่อเครื่องบินขับไล่รุ่นที่หก เป็นโครงการป้องกันที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในปัจจุบัน และคาดว่าจะเข้ามาแทนที่กองบินเครื่องบินขับไล่มิตซูบิชิเอฟ-2 ประมาณ 90 ลำของประเทศ นิตยสารดีเฟนซ์นิวส์รายงาน เมื่อมิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ หรือเอ็มเอชไอ เสร็จสิ้นแผนการออกแบบและการผลิตแล้ว ญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะสร้างเครื่องบินต้นแบบเอฟ-เอ็กซ์ลำแรกใน พ.ศ. 2567 โดยจะมีการทดสอบการบินใน พ.ศ. 2568 รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะใช้เงินประมาณ 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) สำหรับเครื่องบินรบลำนี้จนถึง พ.ศ. 2565

กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นกล่าวว่า จีนมีเครื่องบินขับไล่รุ่นที่สี่มากกว่า 1,000 ลำที่มีความเร็วเหนือเสียง ซึ่งมีจำนวนมากกว่าญี่ปุ่นถึงสามเท่า

เอ็มเอชไอร่วมมือกับบริษัทซูบารุ คอร์ปอเรชั่น ในการพัฒนาโดรนต่อสู้ไร้คนขับที่รู้จักกันในชื่อ “นักบินผู้ภักดี” ดีเฟนซ์นิวส์รายงาน มีการคาดการณ์ว่าโดรนจะทำงานควบคู่กับเอฟ-เอ็กซ์ ทั้งในฐานะหน่วยสอดแนมและในการรบกับขีปนาวุธทางอากาศ

ในการสนับสนุนการบินไร้คนขับ กระทรวงกลาโหมได้จัดสรรเงินจำนวน 24.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8 ร้อยล้านบาท) สำหรับเทคโนโลยีการควบคุมระยะไกลและควบคุมการบิน และอีก 1.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 63 ล้านบาท) สำหรับปัญญาประดิษฐ์

เอ็มเอชไอยังร่วมมือกับเอทีแอลเอเพื่อพัฒนาอาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธปล่อยนำวิถี ตามรายงานของสำนักข่าวกลาโหมเจนส์ คาดว่าระบบต่าง ๆ จะพร้อมสำหรับการใช้งานภายในช่วงกลางทศวรรษ 2020 (พ.ศ. 2563-2572) อาวุธความเร็วเหนือเสียงดังกล่าวอาจช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถโจมตีกองบัญชาการทางทหารที่ไม่เป็นมิตร เพื่อยับยั้งการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากเกาหลีเหนือหรือจีน

นอกจากนี้ เอ็มเอชไอกำลังพัฒนาขีปนาวุธร่อนแบบธรรมดาที่มีพิสัยไกล ซึ่งสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้ในระยะทางเกิน 1,000 กิโลเมตร นิตยสารข่าวนิกเคอิเอเชียของญี่ปุ่นรายงาน ขีปนาวุธดังกล่าวจะมีพิสัยไกลกว่าขีปนาวุธร่อนในปัจจุบันของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นถึง 10 เท่า และจะใช้เป็นเครื่องป้องกัน (ภาพ: กองกำลังญี่ปุ่นทดสอบยิงขีปนาวุธร่อนที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ)

การตัดสินใจของรัฐบาลญี่ปุ่นในการใช้ขีปนาวุธที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพาขีปนาวุธร่อนพิสัยไกลที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ดเพรสซึ่งอ้างถึงคำกล่าวของเจ้าหน้าที่กลาโหมญี่ปุ่น

ภาพจาก: กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น