ความขัดแย้ง/ความตึงเครียดติดอันดับเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

ญี่ปุ่นจ่อทำลายสถิติการใช้จ่ายด้านกลาโหมใน พ.ศ. 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน

รอยเตอร์

เมื่อปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 รัฐบาลของนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้อนุมัติการใช้จ่ายด้านกลาโหมสำหรับ พ.ศ. 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน เพื่อรับมือกับการขยายบทบาททางทหารอย่างรวดเร็วของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

งบประมาณของปีดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2565 โดยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 รวมเป็นเงิน 47.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) ซึ่งยังคงน้อยกว่าหนึ่งในสี่ของงบประมาณทางทหารของจีนใน พ.ศ. 2564 ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน

แผนการใช้จ่ายที่สูงขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ระหว่างนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับนายโยชิฮิเดะ สึกะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งนายสึกะได้ให้คำมั่นว่าจะเสริมสร้างขีดความสามารถด้านกลาโหมของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้นเนื่องด้วยสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่ท้าทายมากขึ้น

ความตึงเครียดเกี่ยวกับไต้หวันได้เพิ่มสูงขึ้นเมื่อนายสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน พยายามอ้างสิทธิอธิปไตยของประเทศตนเหนือเกาะปกครองตนเองดังกล่าว รัฐบาลไต้หวันกล่าวว่าต้องการสันติภาพแต่จะปกป้องตนเองหากจำเป็น

นายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นก่อนหน้านายสึกะ ซึ่งยังคงมีอิทธิพลในพรรคเสรีประชาธิปไตยที่เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ได้กล่าวเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 ว่าสถานการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ในไต้หวันจะถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินต่อญี่ปุ่น รวมถึงความเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ ด้วย

รายการสินค้ามูลค่าสูงในร่างงบประมาณดังกล่าวรวมไปถึงเครื่องบินขับไล่ล่องหนเอฟ-35 จำนวน 12 ลำ มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสี่ลำในนั้นจะเป็นแบบบินขึ้นในระยะสั้นและลงจอดในแนวดิ่งโดยปฏิบัติการจากเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ดัดแปลง (ภาพ: เครื่องบินขับไล่เอฟ-35เอ ของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่นเข้าร่วมการตรวจพลที่เมืองอาซากะ ประเทศญี่ปุ่น)

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นยังได้จัดสรรงบประมาณ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท) ใน พ.ศ. 2565 เพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่ไอพ่นเองเป็นครั้งแรกในรอบสามทศวรรษ โครงการดังกล่าวนำโดยบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ จำกัด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในทศวรรษ 2030 (พ.ศ. 2573 – 2582)

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังจัดสรรงบประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท) เพื่อเสริมสร้างการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ และ 692 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ เช่น ดาวเทียมและเลเซอร์ เพื่อติดตามเป้าหมายที่อยู่เหนือชั้นบรรยากาศ

ร่างงบประมาณต้องได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภาของญี่ปุ่น ซึ่งสมาชิกพรรครัฐบาลของนายคิชิดะถือครองเสียงข้างมากอยู่

 

ภาพจาก: เอเอฟพี/เก็ตตี้อิมเมจ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button