การส่งออกความไม่สงบ: การค้าอาวุธของจีนไม่ตรงกับถ้อยคำโอ้อวด
เจ้าหน้าที่ ฟอรัม
หน่วยงานของจีนยังคงส่งออกอาวุธที่บ่อนทำลายความมั่นคงและมีส่วนร่วมในโครงการขีปนาวุธของรัฐบาลที่เป็นอันตราย แม้จะมีมติขององค์การสหประชาชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 ที่ประณามกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวก็ตาม
นอกเหนือจากการสนับสนุนการสั่งห้ามใช้อาวุธที่มีอยู่แล้ว มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติเมื่อไม่นานมานี้ยังอ้างถึงความกังวลอย่างยิ่งขององค์การว่า “การถ่ายโอนอาวุธอย่างผิดกฎหมาย การสะสมอาวุธที่บ่อนทำลายความมั่นคง และการใช้อาวุธขนาดเล็กและอาวุธเบาในทางที่ผิดในหลายภูมิภาคของโลก” ยังคงคุกคามความมั่นคงระหว่างประเทศ
ข้อมูลจากรายงานที่เผยแพร่ระบุว่า ในขณะเดียวกันนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังส่งออกอาวุธที่เน้นอัตราการยิงเหนือความแม่นยำ และอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ ของตนส่งเทคโนโลยีที่เป็นอันตรายนี้ไปยังรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่ถูกห้ามไม่ให้รับอาวุธดังกล่าว
บริษัทต่าง ๆ ของจีนกำลังส่งออกระบบปืนครกที่มีความร้ายแรงไปยังสนามรบทั่วโลก ตามรายงานเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565 ในนิตยสารเดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ จีนได้ปรับปรุงระบบปืนครกอัตโนมัติวาสิเลกที่ผลิตโดยรัสเซียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น “ตอนนี้มีวาสิเลกรุ่นเลียนแบบของจีนมากกว่ารุ่นดั้งเดิมที่ผลิตโดยโซเวียตเสียอีก” บทความระบุ
ในทางตรงกันข้าม สหรัฐอเมริกามุ่งเน้นไปที่ยุทโธปกรณ์ที่แม่นยำซึ่งจำกัดการบาดเจ็บของผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสู้รบ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ นิยามอาวุธยุทโธปกรณ์นำวิถีความแม่นยำสูงว่าเป็น “อาวุธนำวิถีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายเป้าหมายที่กำหนดและลดความเสียหายที่เกิดจากการปะทะ” อาวุธเหล่านี้ประกอบไปด้วยขีปนาวุธทั้งทางอากาศและทางเรือ จรวดและระเบิดแบบยิงพร้อมกันหลายลูก
ปืนครกพิฆาตที่จีนส่งออกมีระยะและกำลังการยิงมากขึ้น และสามารถติดตั้งบนยานพาหนะได้ “เป็นเพราะการแพร่กระจายของอาวุธจีนสมัยใหม่ในสนามรบของโลก ทั้งปืนครกอัตโนมัติแบบใหม่และเก่าจึงเป็นภัยคุกคามที่มีลักษณะเฉพาะต่อทั่วโลก” ตามข้อมูลจากบทความของเนชันแนลอินเทอเรสต์
ในสงครามกลางเมืองของซีเรียที่กำลังดำเนินอยู่ วาสิเลกรุ่นใหม่ถูกใช้โดยกองทัพซีเรีย หน่วยคุ้มครองประชาชนชาวเคิร์ดและกลุ่มอิสลามนิยมอะฮรอร อัล-ชาม ตามรายงานของที่ปรึกษาด้านข่าวกรองของหน่วยวิจัยอาวุธยุทโธปกรณ์
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ พยายามจำกัดการส่งออกอาวุธไปยังรัฐบาลที่เป็นอันตราย เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการสังหารพลเรือนหลายสิบคนในวันคริสต์มาสอีฟโดยทหารเมียนมาร์ ตลอดจนเรียกร้องให้มีการยุติการขายอาวุธให้แก่รัฐบาลเมียนมาร์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เมียนมาร์เป็นหนึ่งในผู้รับมอบอาวุธจีนรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และกองทัพเมียนมาร์รายงานเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 ว่ากองทัพได้รับมอบเรือดำน้ำโจมตีดีเซล-ไฟฟ้าจากจีน ตามรายงานของเว็บไซต์ดีเฟนซ์นิวส์
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังออกมาตรการห้ามค้าอาวุธให้แก่กัมพูชาเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยอ้างถึงอิทธิพลของจีนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการทุจริตต่อสาธารณะและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลกัมพูชาและกองทัพ ตามรายงานของดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส
จีนยังอนุญาตให้มีการส่งออกเทคโนโลยีขีปนาวุธไปยังรัฐบาลที่ไม่มั่นคงด้วย แม้ว่ารัฐบาลจีนจะยุติการถ่ายโอนเทคโนโลยีขีปนาวุธโดยตรงไปยังรัฐบาลที่ถูกองค์การสหประชาชาติคว่ำบาตร แต่หน่วยงานที่ควบคุมโดยจีนยังคงจัดหาเทคโนโลยีขีปนาวุธให้อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรีย ตามรายงานเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 จากสำนักงานวิจัยแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ
การถ่ายโอนอาวุธอยู่ภายใต้ระบอบการควบคุมเทคโนโลยีขีปนาวุธ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิก 35 ประเทศเพื่อจำกัดการแพร่กระจายอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง “หน่วยงานของจีนยังคงจัดหาสินค้าที่ถูกควบคุมโดยระบอบการควบคุมเทคโนโลยีขีปนาวุธให้กับโครงการขีปนาวุธที่แพร่กระจายความกังวลไปทั่วใน พ.ศ. 2563” ตามรายงานของสำนักงานวิจัยแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ
นอกจากนี้ จีนยังได้ช่วยเหลือรัฐบาลเกาหลีเหนือด้วยการสมทบทุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ โดยฝ่าฝืนการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติต่อการส่งออกถ่านหินและน้ำมันของเกาหลีเหนือ คณะกรรมการองค์การสหประชาชาติระบุเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 ว่าอุตสาหกรรมการขนส่งของจีนถ่ายโอนถ่านหินและน้ำมันของเกาหลีเหนือไปยังท่าเรือของจีน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน
แม้ว่าจะมีบันทึกการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ แต่เจ้าหน้าที่ของจีนก็กล่าวโจมตีสหรัฐฯ ต่อองค์การสหประชาชาติอย่างไร้ยางอายในช่วงปลาย พ.ศ. 2564 โดยกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาระหว่างประเทศและทำลายความพยายามที่จะต่อสู้กับความท้าทายระดับโลก
จุดที่น่าสังเกตคือจีนกำลังขายอาวุธให้แก่รัฐบาลใกล้กับแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ การเคลื่อนย้ายอาวุธจีนไปยังเวเนซุเอลาเริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2549 เมื่อสหรัฐฯ สั่งห้ามการค้าอาวุธต่อประเทศในอเมริกาใต้ เนื่องจากไม่ให้ความร่วมมือกับความพยายามต่อต้านการก่อการร้าย ตามรายงานของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ
การทำธุรกิจนั้นประกอบไปด้วยเครื่องบินขับไล่สำหรับฝึกหัด เค-8 จำนวน 18 ลำใน พ.ศ. 2553 รถหุ้มเกราะ วีเอ็น-4 จำนวน 121 คันใน พ.ศ. 2555 และขีปนาวุธต่อต้านเรือ ซี-802 ในจำนวนที่ไม่เปิดเผยใน พ.ศ. 2560 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 กองกำลังรักษาความมั่นคงแห่งชาติเวเนซุเอลาใช้วีเอ็น-4 แปดคันต่อต้านผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล ตามรายงานของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ
ขณะที่จัดหาอาวุธให้รัฐบาลของนายนิโคลาส มาดูโร ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ถูกปราบปราม ทางการจีนกำลังจัดหาอำนาจเผด็จการรูปแบบดิจิทัลเพื่อตรวจสอบกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตของประชาชนในเวลาเดียวกัน อดีตที่ปรึกษาของรัฐบาลเวเนซุเอลากล่าว “ใครก็ตามที่เชื่อว่าความเป็นส่วนตัวในการสื่อสารทางอีเมล ทวิตเตอร์ วอตส์แอปป์ เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมมีอยู่ในเวเนซุเอลา ล้วนเป็นความคิดที่ผิด” นายแอนโทนี ดาควิน อดีตที่ปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ของกระทรวงยุติธรรมในเวเนซุเอลา กล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุนฟรีดอมเฮาส์ นายดาควินกล่าวว่า เครื่องมือทั้งหมดเหล่านั้นอยู่ภายใต้การแทรกแซงของรัฐบาล
จีนให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคกับรัฐบาลของนายมาดูโรเพื่อตรวจสอบผู้ที่จีนเห็นว่าเป็นศัตรูของรัฐ “พวกเขามีระบบกล้องโทรทัศน์ ลายนิ้วมือ ระบบจดจำใบหน้า ระบบอัลกอริทึมคำสำหรับอินเทอร์เน็ตและการสนทนา” นายดาควินกล่าว
ภาพจาก: ไอสต็อก