ติดอันดับ

รายงานระบุว่าจีนกักตัวชาวอุยกูร์กว่า 3 ล้านคน

โจเซฟ แฮมมอนด์

สาธารณรัฐประชาชนจีนอาจก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยเตอร์กิกอื่น ๆ และได้กักขังผู้คนมากถึง 3 ล้านคนในค่ายกักกัน ตามการประเมินเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 จากพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนผลการสอบสวนก่อนหน้านี้

ในขณะที่รัฐบาลจีนอ้างมาอย่างยาวนานว่าการใช้ค่ายกักกันและข้อจำกัดอื่น ๆ ในภูมิภาคซินเจียงของตนนั้นเป็นผลมาจากความหวาดกลัวต่อการก่อการร้าย แต่รายงานของพิพิธภัณฑ์บ่งชี้ว่ามีปัจจัยอื่นเข้ามามีส่วนด้วย

“มีการยึดถือค่านิยมของลัทธิฮั่นผู้ยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นในการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ของรัฐบาลจีน ซึ่งได้หล่อเลี้ยงสภาพแวดล้อมที่อุดมการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สามารถหยั่งรากลึกลงไปได้” ตามที่ผู้เขียนรายงานเขียน โดยอ้างถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอำนาจครอบครองของจีน ผู้เขียนยืนกรานว่า การเพิ่มขึ้นของค่านิยมดังกล่าวภายในเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับทั่วไปมีส่วนทำให้นำไปสู่การรณรงค์ปราบปราม

อีกทั้งรายงานยังระบุว่ามีเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความพยายามของรัฐบาลจีน “การควบคุมภูมิภาคดังกล่าวนั้น ซึ่งรัฐบาลจีนดำเนินการในแบบเดียวกันกับการควบคุมประชากรชาวอุยกูร์” ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จของโครงการโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนในการลงทุนในเกือบ 70 ประเทศ

การวิจัยบ่งชี้ว่า ขณะนี้มีปัจจัยพื้นฐานที่สมเหตุสมผลพอที่จะเชื่อว่าอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เช่น การบังคับให้ทำหมัน การล่วงละเมิดทางเพศ การตกเป็นทาส การทรมาน และการถ่ายโอนโดยใช้กำลังก็กำลังเกิดขึ้นอยู่

ผลการวิจัยของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ ยืนยันว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และรัฐบาลทั่วโลกเชื่อว่าการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ของจีนถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

รายงานระบุว่า “แคนาดา เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ลิทัวเนีย เบลเยียม และสหราชอาณาจักรล้วนอนุมัติการเคลื่อนไหวที่ประกาศว่าจีนได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (ภาพ: สมาชิกชุมชนชาวอุยกูร์เข้าร่วมการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้รัฐสภาสหราชอาณาจักรตระหนักว่า การข่มเหงชาวอุยกูร์ของจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมของจีนนั้นเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)

นอกจากนี้ การวิจัยยังอธิบายถึงความพยายามในการชำระล้างภูมิภาคซินเจียงทางชาติพันธุ์ผ่านการทำหมันและการบังคับใช้อุปกรณ์ในมดลูก รัฐบาลได้วางมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ชาวจีนฮั่นและชาวอุยกูร์แต่งงานกัน ผู้ที่เคยปฏิเสธความพยายามที่คล้ายกันได้ถูกกักขัง

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามต่าง ๆ ในการแบ่งแยกชาวอุยกูร์ตามเพศเพื่อช่วยจำกัดการเติบโตของประชากร งานวิจัยนี้อ้างถึงการแยกเพศและโครงการที่จำกัดชาวอุยกูร์เพศชายให้ทำงานในค่ายหรืองานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายในที่ห่างไกล เป็นต้น ผู้เขียนยืนกรานว่า รัฐบาลจีนได้สนับสนุนให้มีการย้ายถิ่นฐานของชาวจีนฮั่นด้วยเช่นกัน โดยมีประชากรกว่า 2 ล้านคนย้ายถิ่นฐานไปยังเขตการปกครองที่มีชาวจีนฮั่นเป็นส่วนใหญ่ในช่วง พ.ศ. 2558 ถึง พ.ศ. 2561

“รายงานนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต่อมนุษยชาติ” นายรัชชาน อับบาส ผู้อำนวยการบริหารของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อชาวอุยกูร์ กล่าวกับ ฟอรัม “บางที สิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากพิพิธภัณฑ์มีบทบาทอันทรงเกียรติในการศึกษานโยบายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รายงานนี้จึงให้หลักฐานสำคัญของเป้าหมายการป้องกันการเกิดทารกและเพื่อกำจัดประชากรในระยะยาว”

งานวิจัยนี้เสนอแนะเชิงนโยบายต่อประชาคมนานาชาติ รวมถึงขอร้องให้องค์การสหประชาชาติสอบสวนเรื่องการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์

“ประชาคมระหว่างประเทศมีความรับผิดชอบในการดำเนินการและเป็นความหวังขององค์กรของเราในการรณรงค์เพื่อชาวอุยกูร์ รายงานฉบับนี้กระตุ้นให้ประชาคมระหว่างประเทศตระหนักถึงภาระหน้าที่ของตนและเข้าร่วมความพยายามที่จะเห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ยุติลง” นายอับบาสกล่าว

โจเซฟ แฮมมอนด์ เป็นผู้สื่อข่าวสมทบของ ฟอรัม รายงานจากภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

 

ภาพจาก: เอเอฟพี/เก็ตตี้อิมเมจ

แสดงความคิดเห็นที่นี่

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความที่เกี่ยวข้อง

Back to top button