ติดอันดับ

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การสำแดงแสนยานุภาพครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือถูกมองว่าเป็นลักษณะของการขอความช่วยเหลือ

แม้ว่านายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะแสดงถึงความกระหายสงครามในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่กิจกรรมของเกาหลีเหนือน่าจะเป็นเพียงการระดมยิงปืนใหญ่จากคลังสรรพาวุธของประเทศเท่านั้น บรรดานักวิเคราะห์แย้ง นักวิเคราะห์กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการสำแดงแสงยานุภาพครั้งนี้คือนายคิมต้องการที่จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนรักษาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งนายคิมน่าจะมองว่าเป็นเครื่องต่อรองอันดับต้น ๆ ของตนเอง

การยั่วยุครั้งล่าสุดของนายคิม ได้แก่ การกลับมาผลิตพลูโทเนียมชั้นอาวุธสำหรับระเบิดนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 11 และ 12 กันยายน พ.ศ. 2564, การทดสอบขีปนาวุธร่อนตัวใหม่ที่มีพิสัยไกลถึง 1,500 กิโลเมตร และการทดสอบขีปนาวุธที่สามารถยิงจากรถไฟและบรรจุหัวรบปรมาณูได้เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักข่าวและรายงานของหน่วยงานความมั่นคง (ภาพ: ประชาชนในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้รับชมรายงานทางโทรทัศน์ซึ่งเป็นภาพถ่ายดาวเทียมของโรงงานนิวเคลียร์ยองบยอนของเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดชี้ให้เห็นว่าเกาหลีเหนือกลับมาผลิตเชื้อเพลิงอาวุธที่โรงงานดังกล่าวอีกครั้ง อีกทั้งดำเนินการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมในอาคารที่ซับซ้อนนั้น)

อย่างไรก็ตาม การกระทำก้าวร้าวที่น่ากังวลที่สุดอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 เมื่อเกาหลีเหนือปล่อยขีปนาวุธพิสัยใกล้สองลูกเข้าสู่ทะเลญี่ปุ่น ตามรายงานของเอ็นบีซีนิวส์

นายโยชิฮิเดะ สึกะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประณามการยิงขีปนาวุธดังกล่าวว่า “เป็นการกระทำที่อุกอาจ” อีกทั้งยังเป็น “ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง” ของภูมิภาค นายสึกะกล่าวว่า “เกาหลีเหนือฝ่าฝืนมติคณะความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และข้าพเจ้าขอประท้วงและประณามการกระทำดังกล่าวอย่างถึงที่สุด” “เราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ตลอดจนประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อปกป้องชีวิตและความเป็นอยู่อันสงบสุขของพลเมืองของเราอย่างเด็ดเดี่ยว” นายสึกะกล่าว ตามรายงานของซีเอ็นบีซี

กองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโดแปซิฟิกเรียกกิจกรรมของเกาหลีเหนือว่าเป็นความเสี่ยงต่อภูมิภาคนี้และที่อื่น ๆ อีกทั้งยังได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำงานร่วมกับประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนเพื่อติดตามสถานการณ์ต่อไป

เกาหลีเหนือคงไว้ซึ่งการระงับการทดสอบขีปนาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกลเป็นเวลากว่า 3 ปี จนกระทั่งการทดสอบขีปนาวุธเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า แม้ว่านายคิมตกลงที่จะดำเนินการเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีในการประชุมสุดยอดเมื่อต้น พ.ศ. 2562 กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น แต่การเจรจากลับไม่คืบหน้านับตั้งแต่การประชุมสุดยอดครั้งที่สองในปีเดียวกัน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และการเจรจาดังกล่าวยังสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน นอกจากนี้ การเจรจาทางการทูตระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังหยุดชะงักลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

กิจกรรมการทดสอบล่าสุดของนายคิมมีวัตถุประสงค์หลัก “เพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางทหาร แต่ก็อาจเป็นความพยายามในการสร้างความสามัคคีภายในประเทศได้เช่นกัน” นายเลฟเอริค อีสลีย์ ศาสตราจารย์ฝ่ายการศึกษาต่างประเทศของมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวกับดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส “รัฐบาลเกาหลีเหนืออาจเปิดฉากการยั่วยุแม้ในยามที่มีความต้องการทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นหวัง เนื่องจากเกาหลีเหนือต้องการปิดบังจุดอ่อนและบีบให้ได้รับสัมปทานภายนอก”

อย่างไรก็ตาม การทดสอบดังกล่าวอาจให้ผลตรงข้ามกับคนในประเทศ เนื่องจากประชาชนรู้สึกผิดหวังกับการใช้จ่ายในการจัดแสดงการป้องกันประเทศ เช่น การทดสอบขีปนาวุธและการเดินขบวนพาเหรด ท่ามกลางปัญหาความอดอยากของประชาชน ตามรายงานของเรดิโอฟรีเอเชีย

“ประชาชนต่างแสดงท่าทีต่อต้านรัฐบาลโดยการตั้งคำถามว่าทางการดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ราวกับไม่รับทราบถึงปัญหาความอดอยากของประชาชนเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างไร” ประชาชนรายหนึ่งในเมืองฮัมฮุง ประเทศเกาหลีเหนือ กล่าวกับเรดิโอฟรีเอเชีย ยิ่งไปกว่านั้น ขีปนาวุธก็ไร้ประโยชน์หากกองทัพไม่สามารถดูแลปากท้องของเหล่าทหารได้ แหล่งข่าวกล่าว

นายคิมอาจใช้การยิงขีปนาวุธและการคุกคามเพื่อขอความช่วยเหลือ

รายงานประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ที่เผยแพร่โดยสถาบันบรูกกิงส์ระบุว่า “การระบาดใหญ่ของโควิด-19 การแยกตัวเองและการปิดเมือง ความล้มเหลวด้านผลผลิตทางการเกษตร มาตรการคว่ำบาตร และอื่น ๆ ล้วนทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย ซึ่งเป็นความจริงที่นายคิม จองอึน ยอมรับ” “กลไกการวางแผนของรัฐดูเหมือนจะล้มเหลว การถือครองเงินตราต่างประเทศลดลง รายได้ของรัฐหดตัวลง จำนวนการค้าต่างประเทศลดลง และการเติบโตลดลง” ตามรายงานฉบับหนึ่งในหัวข้อ “วิกฤตเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ: โอกาสสุดท้ายสำหรับการปลดอาวุธนิวเคลียร์?”

นอกจากนี้ การทดสอบต่าง ๆ ดังกล่าวยังมีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากการประชุมหลายรอบเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ เข้าร่วมในกรุงโตเกียวและกรุงโซล นายซ็อง คิม อุปทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำเกาหลีเหนือ กล่าวภายหลังการเจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับเดียวกันจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ว่า สหรัฐฯ ยินดีที่จะร่วมมือกับรัฐบาลเกาหลีเหนือในเรื่องปัญหาด้านมนุษยธรรม “โดยไม่คำนึงถึงความคืบหน้าในการปลดอาวุธนิวเคลียร์” สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงาน

“เรายังคงต้องจับตาดูว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร แต่เป็นไปได้ว่าเราใกล้จะก้าวเข้าสู่อีกระยะหนึ่งของภาวะผู้นำของเกาหลีเหนือแล้ว” นายปาร์ค วอนกอน ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเกาหลีเหนือที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา กล่าวกับสำนักข่าวเอพี

ในระหว่างนี้ สหรัฐฯ รวมทั้งประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนจะยังคงเตรียมพร้อมในการตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยการซ้อมรบทางทหาร “ความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการปกป้องสาธารณรัฐเกาหลีและญี่ปุ่นยังคงเป็นเป้าหมายหลัก” กองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิกกล่าวในแถลงการณ์ หลังจากการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลของเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ มีกำลังทหารประมาณ 80,000 นายทั่วทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่ 7 ที่สร้างขีปนาวุธทิ้งตัวติดเรือดำน้ำได้ภายในประเทศ หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวเทคโนโลยีใต้น้ำ สำนักข่าวยอนฮัปรายงาน บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า เกาหลีเหนือแม้จะอ้างว่าทำสำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุขีดความสามารถดังกล่าวได้

นายมุน แจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวว่า “การครอบครองขีปนาวุธทิ้งตัวติดเรือดำน้ำมีความสำคัญอย่างมากในแง่ของการป้องกันภัยคุกคามจากทุกทิศทาง และคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเอง ตลอดจนการสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีในอนาคต”

หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อการพัฒนาด้านกลาโหมของเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีการปล่อยขีปนาวุธทางอากาศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์เครื่องบินขับไล่ สำนักงานของนายมุน ระบุ

ในขณะเดียวกัน ออสเตรเลียจะซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงหุ้นส่วนใหม่กับสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยยกระดับการป้องปรามในภูมิภาคนี้ด้วยเช่นกัน

 

ภาพจาก: ดิแอสโซซิเอทเต็ด เพรส

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button