ติดอันดับ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ของชาวอุยกูร์ด้วยการโจมตีกลุ่มพยานหญิงอย่างโจ่งแจ้ง

รอยเตอร์

พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลกเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในซินเจียงทางตะวันตกไกล กำลังรณรงค์การตอบโต้อย่างก้าวร้าวเป็นประวัติการณ์ อาทิ การโจมตีอย่างโจ่งแจ้งต่อกลุ่มผู้หญิงที่แจ้งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการละเมิด

เนื่องจากข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง โดยมีฝ่ายนิติบัญญัติจากชาติตะวันตกจำนวนมากกล่าวหาว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจีนจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเสื่อมเสียแก่กลุ่มพยานหญิงชาวอุยกูร์ที่อยู่เบื้องหลังรายงานล่าสุดเกี่ยวกับการล่วงละเมิด

เจ้าหน้าที่จีนได้ตั้งชื่อให้แก่ผู้หญิงเหล่านั้น เปิดเผยถึงสิ่งที่จีนระบุว่าเป็นข้อมูลทางการแพทย์ส่วนบุคคลและข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์ของพวกเธอ อีกทั้งกล่าวหาว่าผู้หญิงบางรายมีเรื่องอื้อฉาวและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงตัวตนที่เลวร้าย ซึ่งทำให้ประวัติด้านการล่วงละเมิดสตรีในซินเจียงถือเป็นโมฆะ

“เพื่อประณามการกระทำที่น่ารังเกียจของสื่อมวลชนบางแห่ง เราจึงได้บังคับใช้มาตรการต่าง ๆ” นายสู กุ้ยเสียง รองหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของซินเจียง กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์การตอบโต้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งรวมไปถึงการบรรยายสรุปหลายชั่วโมง โดยมีภาพวิดีโอของผู้อยู่อาศัยในซินเจียงและสมาชิกในครอบครัวกำลังอ่านบทพูดต่าง ๆ

รอยเตอร์ดำเนินการตรวจสอบการนำเสนอหลายสิบชั่วโมงเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วรรณกรรมหลายร้อยหน้า รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่า การรณรงค์อย่างระมัดระวังและเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางกำลังบอกใบ้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมเรื่องราวในซินเจียง

นายเจมส์ มิลล์เวิร์ด ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จีนจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายในซินเจียง กล่าวว่า “เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนกังวลอย่างมากเกี่ยวกับคำให้การจากหญิงสาวเหล่านี้คือ คำให้การดังกล่าวได้ทำลายคำกล่าวอ้างแรกของจีนถึงสิ่งที่ตนกระทำต่อค่ายแห่งนั้น ซึ่งก็คือการต่อต้านการก่อการร้าย” และกล่าวเสริมว่า

“ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิงหลายคนในค่ายไม่มีความใกล้เคียงแม้แต่น้อยว่าจะเป็นบุคคลหัวรุนแรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายแต่อย่างใด”

องค์การสหประชาชาติประเมินว่า ชาวอุยกูร์กว่า 1 ล้านคนถูกกักขังอยู่ในค่ายซินเจียงภายใต้สิ่งที่รัฐบาลกลางเรียกว่า การรณรงค์ต่อต้านการก่อการร้าย แต่นักกิจกรรมและนักการเมืองตะวันตกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นการทรมาน การบังคับใช้แรงงาน และการบังคับทำหมัน

สหรัฐฯ เรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นจุดยืนที่รัฐสภาแคนาดาและเนเธอร์แลนด์เห็นพ้องด้วย

รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อเรียกร้องขององค์การสหประชาชาติในการสืบสวนอย่างอิสระเกี่ยวกับการกักกันในซินเจียง นอกเหนือจากกลุ่มท่องเที่ยวของรัฐบาลที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้สื่อข่าวและนักการทูตคนอื่น ๆ ต่างไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในค่าย ซึ่งทำให้นักข่าวจำเป็นต้องส่งคำถาม รวมถึงวิดีโอและคำให้การที่จัดทำโดยอดีตผู้ต้องขังในค่ายและบุคคลสำคัญทางศาสนา ล่วงหน้าเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ชาวอุยกูร์กล่าวว่าพวกเขาเกรงกลัวการปฏิบัติตอบโต้จากการพูดคุยกับผู้สื่อข่าว

เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 บัญชีทวิตเตอร์ของสถานทูตสหรัฐฯ ในจีนถูกระงับ โดยมีสาเหตุมาจากข้อความทวิตเตอร์หนึ่งที่ระบุว่า หญิงชาวอุยกูร์เป็น “เครื่องจักรผลิตทารก” ก่อนที่รัฐบาลจีนจะจัดตั้งระบบค่าย

นายมิลเวิร์ดกล่าวว่า “ลักษณะทางชีวภาพ การสืบพันธุ์ และการเกิดเพศสภาพของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวต่อโลกเป็นอย่างยิ่ง” จีน “ดูเหมือนจะรับรู้แล้ว … ตอนนี้คุณก็เห็นว่าจีนพยายามตอบสนองด้วยวิธีการที่ไม่รอบคอบ”

ในระหว่างการสรุปข่าวเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ นายวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน (ในภาพ) ถือภาพของพยานที่อธิบายถึงการล่วงละเมิดทางเพศในซินเจียง นายเหวินปินกล่าวว่า คำบอกเล่าจากหญิงรายหนึ่งเป็น “เรื่องโกหกและข่าวลือ” เนื่องจากผู้หญิงคนดังกล่าวไม่ได้พูดถึงประสบการณ์ดังกล่าวในการสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิงคนดังกล่าว

ในเดือนมกราคม เจ้าหน้าที่ซินเจียงกล่าวหาว่าหญิงคนหนึ่งที่ได้พูดคุยกับสื่อต่างประเทศเป็นโรคซิฟิลิส และเจ้าหน้าที่ได้แสดงภาพเวชระเบียนซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีผู้ใดร้องขอและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคำบอกเล่าของหญิงสาวคนดังกล่าวโดยตรง

จีนปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนประชากรในค่ายนี้ ในช่วงแรก รัฐบาลจีนปฏิเสธว่าค่ายดังกล่าวไม่มีอยู่จริง แต่ขณะนี้ จีนกลับระบุว่าค่ายเหล่านั้นเป็นศูนย์อาชีวศึกษาและฝึกอบรมอาชีพ และประชากรทั้งหมดในค่าย “จบการศึกษาแล้ว”

 

ภาพจาก: เอเอฟพี/เก็ตตี้อิมเมจ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button