ติดอันดับ

เจ้าหน้าที่ซินเจียงส่งชาวอุยกูร์ไปทำงานในโรงงานของจีน แม้จะมีความเสี่ยงจากไวรัสโคโรนา

ติดอันดับ | Mar 11, 2020:

เรดิโอฟรีเอเชีย

เจ้าหน้าที่ประจำเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ส่งชาวอุยกูร์หลายร้อยคนไปทำงานในโรงงานที่ภาคอื่น ๆ ของจีนซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ หรือ โควิด-19 ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สังเกตการณ์ว่า การเคลื่อนย้ายแรงงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า “ชีวิตของชาวอุยกูร์ไม่สำคัญ” สำหรับประเทศจีน

โควิด-19 ส่งผลให้การผลิตในจีนหยุดชะงักลง จากการที่ทางการออกกฎหมายให้มีการกักตัวเพื่อดูอาการ รวมทั้งจำกัดการเดินทางทั่วประเทศเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว ซึ่งนับจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 82,000 คนใน 34 ประเทศและหลายเขตแดน รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2,700 ราย ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก

แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้เพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนามีความเข้มงวดมากกว่าที่เคย แต่รายงานจากสื่อทางการในช่วงไม่กี่วันมานี้กลับชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์บังคับให้ชาวอุยกูร์ย้ายไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ในมณฑลหูหนาน เจียงซู เจียงซี และเจ้อเจียง ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในการหาทางพยุงกำลังการผลิตไว้ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดการติดเชื้อ (ภาพ: ในภาพนิ่งที่ตัดมาจากไฟล์วิดีโอไม่ระบุวันที่ ซึ่งถ่ายไว้ด้วยกล้องวงจรปิดของจีนผ่านทางวิดีโอของดิแอสโซซิเอทเต็ดเพรส แสดงภาพผู้ฝึกงานชาวมุสลิมกำลังทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอาชีพเหอเถียนในเมืองเหอเถียน เขตปกครองตนเองซินเจียง ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน)

รายงานล่าสุดจากหนังสือพิมพ์ ซินเจียงเดลี ฉบับทางการและ Chinanews.com ระบุว่าเมื่อวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 “มีการเคลื่อนย้ายคนหนุ่มสาว 400 คนไปยังมณฑลหูหนาน เจ้อเจียง และเจียงซี”

โดยรายงานระบุว่าในจำนวนดังกล่าว มีคนจากอำเภออาวาติ จังหวัดอาเค่อซูของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์จำนวน 114 คนถูกส่งไปที่เมืองจิ่วเจียงในมณฑลเจียงซีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ มีคนจากเมืองอาเค่อซูจำนวน 100 คนถูกส่งไปที่จิ่วเจียงเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และจากจังหวัดเหอเทียนจำนวน 171 คนถูกส่งไปที่เมืองฉางชาในมณฑลหูหนานโดยไม่ได้เปิดเผยวันที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานกลุ่มสุดท้าย

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 11:00 น. Chinanews.com รายงานว่ามีคนงานจำนวน 135 คนโดยสารเครื่องบินจากสนามบินอาเค่อซูไปยังเมืองอู่อี้ในมณฑลเจียงซู เพื่อเข้าร่วม “การทำงานในช่วงฤดูร้อน” โดยไม่มีรายละเอียดแจ้งไว้

รายงานอีกฉบับจากเว็บไซต์ทางการ Tianshan.net ระบุว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ คนงานจำนวน 242 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจังหวัดคาสือ รวมถึงอำเภอเซอผู่ เย่เฉิง และหยิงจี่ชาของจังหวัดคาสือ โดยสารเครื่องบิน บี 787 ของสายการบินไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์จากสนามบินคาสือไปยังฉางชา

โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า คนงานส่วนใหญ่เกิดหลัง พ.ศ. 2533 และถูกส่งไปที่ฉางชาเพื่อทำงานให้แก่บริษัทหลันสือเทคโนโลยี

ในรายงานของ Tianshan.net ที่แยกอีกฉบับระบุว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ในเหอเถียนบังคับให้คนงานกว่า 30,000 คนกลับไปทำงานในองค์กร 299 แห่งในเขตจังหวัดนี้ แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการกักตัวเพื่อดูอาการก็ตาม

นายโดลคุน อีซา ประธานสภาอุยกูร์โลกในมิวนิค กล่าวว่าตนรู้สึก “ตกใจมาก” ที่รัฐบาลซินเจียงบังคับให้คนงานชาวอุยกูร์หลายร้อยคนเดินทางไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ในภูมิภาคอื่นของจีน “ในช่วงเวลาที่จีนสั่งให้ประชาชนหลายล้านคนกักตัวเพื่อดูอาการ และบริษัทต่าง ๆ ระงับการผลิตเนื่องจากกังวลกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนา”

“เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลจีนกำลังส่งชาวอุยกูร์ไปเผชิญอันตรายเพราะชีวิตของชาวอุยกูร์ไม่สำคัญสำหรับจีน” นายอีซากล่าว “ไม่มีอะไรรับประกันว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้จะมีชีวิตรอดกลับบ้าน จีนต้องหยุดบังคับชาวอุยกูร์ให้ไปเป็นแรงงานราคาถูกในแผ่นดินใหญ่ขณะที่ไวรัสโคโรนากำลังคุกคามเช่นนี้”

นายเมเมต อีมิน นักวิจัยทางการแพทย์ชาวอุยกูร์ในนิวยอร์กกล่าวว่า ชาวอุยกูร์เป็นตัวแทนของแรงงานที่เหมาะเจาะสำหรับบริษัทในภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศจีนที่กำลังประสบปัญหาในการดำเนินกิจการให้บรรลุเป้าหมาย ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา

“จีนส่งชาวอุยกูร์ไปทำงานเพราะชาวอุยกูร์ไม่มีหนทางจะต่อต้านทางการได้ ชาวอุยกูร์อาจถูกบังคับให้ทำงานในฐานะแรงงานราคาถูก และบริษัทที่จ้างก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ แม้ว่าชาวอุยกูร์จะเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาก็ตาม” นายอีมินกล่าว “เนื่องจากสถานการณ์ที่ชาวอุยกูร์เผชิญมีความล่อแหลมอย่างมาก จึงอาจเป็นเรื่องค่อนข้างง่ายที่รัฐบาลจีนจะอธิบายแก่พ่อแม่ของแรงงานชาวอุยกูร์ถึงการเสียชีวิตของหนึ่งในคนงานกลุ่มนั้น”

รายงานล่าสุดจากเรดิโอฟรีเอเชียพบว่า ผู้อยู่อาศัยในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ถูกทอดทิ้งโดยไร้อาหารและข้าวของเครื่องใช่อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบังคับใช้กฎหมายกักกันโรคเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ ซึ่งนับจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 พบผู้ติดเชื้อแล้ว 76 รายและมีผู้เสียชีวิต 2 ราย

ในบางพื้นที่ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เช่น เมืองอาตูซือในเทศบาลเค่อจื้อเล่ยซูเคอเอ๋อร์เค่อจื้อ ผู้อยู่อาศัยที่ออกจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงกักกันโรค จะต้องเผชิญกับการถูกคุกคามจากการคุมตัว 15 วันในเครือข่ายค่ายปรับทัศนคติของเขตปกครองนี้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่คุมขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมจำนวนมากถึง 1.8 ล้านคนด้วยข้อหามีแนวคิดด้าน “มุมมองศาสนาที่รุนแรง” และ “ไม่ถูกต้องทางสังคม” มาตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2560

รายงานจากสื่อมวลชนชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในค่ายดังกล่าวถูกกักขังและต้องเข้ารับการปลูกฝังความเชื่อทางสังคม ต้องเผชิญกับการปฏิบัติอย่างหยาบคายภายใต้อำนาจของผู้คุม และต้องอดทนกับการขาดสารอาหารตลอดจนสภาพที่ไม่ถูกสุขอนามัยภายในค่ายที่มักจะแออัด ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ออกมาเตือนว่าอาจทำให้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว

การขาดความโปร่งใสของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นข้อครหาว่าคือสาเหตุที่ทำให้เมืองอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ยของจีน กลายเป็นจุดหลักที่มีการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาอย่างรุนแรง จนทำให้ทางการต้องสั่งปิดเมืองแห่งนี้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2563

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button