การต่อต้านจีน: อินเดีย ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ผลักดันให้เกิดอินโดแปซิฟิกที่เปิดกว้าง
เอเจนซ์ ฟรานซ์-เพรส
บรรดาผู้นำของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอินเดียได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรกเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 และได้เรียกร้องให้มีการเดินเรือที่เปิดกว้างในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ashowโดยเป็นการแสดงถึงความเห็นพ้องต้องกันและต่างคำนึงถึงบทบาทของสาธารณประชาชนจีน
ผู้นำเอียงขวาทั้งสาม อันได้แก่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายนเรนทระ โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย และนายชินโซ อะเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้พบปะกันในการประชุมนอกรอบระหว่างการประชุมสุดยอด จี20 ของกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กรุงบัวโนสไอเรสในอาร์เจนตินา (ภาพ: นายชินโซ อะเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (จากซ้าย) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายนเรนทระ โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย พบปะกันในการประชุมสุดยอด จี20 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561)
การประชุมสุดยอดของผู้นำทั้งสามที่ใช้เวลาเพียง 15 นาทีนี้มีนัยในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าในเชิงยุทธศาสตร์ แต่เป็นการประชุมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทั้งสามประเทศมีความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของจีน
ทั้งญี่ปุ่นและอินเดียมีความขัดแย้งทางอาณาเขตกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนมาเป็นเวลานาน ในขณะที่นายทรัมป์ได้กดดันจีนอย่างหนักด้านการค้า และได้กล่าวเน้นย้ำถึงความกังวลเรื่องท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลจีนในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท
“ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และอินเดียมีค่านิยมพื้นฐานและผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน” นายอะเบะกล่าว “การที่เราทั้งสามประเทศทำงานร่วมกัน เราจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก”
นายโมทีให้ข้อสังเกตว่าตัวอักษรแรกของชื่อประเทศญี่ปุ่น สหรัฐฯ และอินเดียในภาษาอังกฤษรวมกันเป็นตัวย่อของคำว่า “แจ” ซึ่งในภาษาฮินดีแปลว่า “ยั่งยืน”
นางซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่าการประชุมสุดยอดได้ “เน้นย้ำความสำคัญของวิสัยทัศน์สำหรับอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้างต่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองทั่วโลก” อีกทั้งให้คำมั่นว่าจะยกระดับความร่วมมือระดับไตรภาคี
รัฐบาลของนายทรัมป์ได้มีการกล่าวถึง “อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งเป็นคำกล่าวที่นายอะเบะได้ส่งเสริมมาเป็นเวลานานพร้อมกับการยืนยันว่าควรมีการเปิดกว้างในการเดินเรือและการค้าทั่วทั้งเอเชีย
นายโมทีและนายอะเบะต่างได้พบปะกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนในคนละโอกาส ส่วนนายทรัมป์ได้พบกับนายสีในวันต่อมาเพื่อเจรจาเรื่องความขัดแย้งทางการค้า
แม้จะมีข้อพิพาททางอาณาเขตมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษกับจีน แต่ที่ผ่านมาอินเดียได้หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับประเทศมหาอำนาจ นอกจากนี้ ความตึงเครียดระหว่างญี่ปุ่นและจีนได้ผ่อนคลายลง โดยนายอะเบะได้เดินทางไปเยือนจีนเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ไปเยือนกรุงปักกิ่ง