กฎหมายใหม่ของอินโดนีเซียอนุญาต ให้จำคุกพวกหัวรุนแรงที่เดินทางกลับเข้าประเทศ
รอยเตอร์
ายนิติบัญญัติกล่าวในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ว่า อินโดนีเซียเตรียมอนุมัติกฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ มีอำนาจจำคุกพลเมืองที่เดินทางกลับประเทศหลังเข้าร่วมสู้รบกับกลุ่มหัวรุนแรงในต่างประเทศ โดยจำคุกเป็นเวลาสูงสุดถึง 15 ปี
การเพิ่มความความเข้มงวดของกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายในประเทศที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลกแห่งนี้เป็นผลมาจากความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องการแผ่อิทธิพลของกลุ่มรัฐอิสลามอิรักและซีเรีย (ไอซิส) และหวาดกลัวว่ากลุ่มนี้จะใช้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นฐานที่มั่นใหม่หลังจากสูญเสียดินแดนของตนในตะวันออกกลาง
“ประมวลกฎหมายอาญาใหม่จะใช้หลักสากล ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าพลเมืองอินโดนีเซียจะกระทำผิดทางอาญาที่ใดก็ตาม คนเหล่านี้จะสามารถถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ในอินโดนีเซีย” นายอาร์ซุล ซานี สมาชิกสภานิติบัญญัติกล่าวโดยอ้างถึงการก่อการร้าย “ผู้กระทำผิดอาจต้องรับโทษสูงสุดถึง 15 ปีในเรือนจำ” นายซานีกล่าว
สมาชิกสภานิติบัญญัติระบุว่า กฎหมายนี้ถูกกำหนดให้มีการอนุมัติในปี พ.ศ. 2560
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้ร้องเรียนมานานแล้วว่าไม่สามารถจัดการกับผู้ที่เดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มไอซิสและเดินทางกลับเข้าประเทศในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มไอซิสมีผู้เห็นอกเห็นใจจำนวนหลานพันคนในอินโดนีเซีย
คาดว่ามีชาวอินโดนีเซียหลายร้อยคนทั้งชาย หญิงและเด็ก ที่เดินทางไปยังซีเรียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยทางการเชื่อว่ามีชาวอินโดนีเซียราว 400 คนที่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มไอซิส และหลายสิบคนได้เดินทางกลับมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว
ภูมิภาคนี้ที่มีประชากรราว 600 ล้านคน ได้ประสบปัญหาการถูกโจมตีโดยกลุ่มหัวรุนแรงอยู่เป็นระยะๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับ ตั้งแต่ที่มีการโจมตีสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียถูกโจมตีโดยกลุ่มหัวรุนแรงที่อ้างว่ามีความจงรักภักดีต่อกลุ่มอัลกออิดะห์ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถูกโจมตีโดยกลุ่มที่มีความจงรักภักดีต่อไอซิส
กองกำลังของรัฐบาลในฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ได้ต่อสู้กับกลุ่มหัวรุนแรงที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอซิสในมินดาเนา ซึ่งเป็นพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยเหตุการณ์หลายครั้งเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2560
ในอินโดนีเซีย การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพที่สถานีรถโดยสารในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 โดยกลุ่มหัวรุนแรงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอซิส ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตสามนาย
การเพิ่มความเข้มงวดของกฎหมายรักษาความมั่นคงของอินโดนีเซีย เป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนกฎหมายที่เกิดจากการผลักดันของนายโจโก วีโดโดประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เพื่อรับมือกับภัยอันตรายใหม่ ๆ ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงจะรวมถึงการกำหนดนิยามการก่อการร้ายให้มีขอบเขตกว้างขึ้น และให้อำนาจแก่ตำรวจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นระยะเวลานานขึ้นโดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดี
นอกจากนี้ ตำรวจจะมีอำนาจในการจับกุมผู้กระทำผิดในข้อหาใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังหรือเผยแพร่เนื้อหาข้อมูลที่เป็นแนวคิดสุดโต่ง ตลอดจนผู้ที่มีส่วนร่วมในการฝึกกึ่งทหารหรือเข้าร่วมกับกลุ่มต้องห้ามต่าง ๆ
พล.ต.อ. ติโต คาร์นาเวียน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย กล่าวในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ว่าได้มีการรักษาความมั่นคงที่เข้มงวดขึ้นในเดือนนั้นก่อนหน้าวันอีดิลฟิตรี ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม พล.ต.อ. คาร์นาเวียนระบุว่าได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรง 38 คน
ประเทศเพื่อนบ้านของอินโดนีเซียอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ก็ได้มีการแก้ไขกฎหมายความมั่นคงภายในให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอนุญาตให้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดี
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ได้ออกลาดตระเวนทางอากาศและทางทะเลร่วมกันในช่วงกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มหัวรุนแรงข้ามพรมแดนที่ประเทศเหล่านี้ใช้ร่วมกัน