เรื่องเด่น

บาทของ ของแม่ ในการต่อต้านการ ก่อการร้าย

มุมมองเกี่ยวกับวิธีที่ครอบครัว อาจช่วยต่อต้านความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง

ดร.อีดิท ชลาฟเฟอร์ และ ดร.อูลริช โครพียูนิกก์ – สตรีไร้พรมแดน/กลุ่มภคินีเพื่อตอบโต้ความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง

ารปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรงเป็นกระบวนการที่มักจะเกิดขึ้นที่บ้านจากผู้ปกครองและคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่อยู่ด้วยอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองอาจไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกหลานซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่จนกระทั่งสายเกินไป

“ความเปลี่ยนไป” ของลูกชายหรือลูกสาวไม่จำเป็นต้องหมายถึงสัญญาณเตือนเสมอไป ช่วงวัยรุ่นเป็นเวลาของการเปลี่ยนแปลง บางครั้งผู้ปกครองจะรู้สึกปลอดภัยและโล่งใจที่เห็นลูกหลานของตนอยู่ห่างไกลจากยาเสพติดและหันมาเลื่อมใสในศาสนาอิสลามแทน เพราะจากนั้นจะไม่มีการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา หรือการนอนตื่นสายอีกต่อไป

ผู้ปกครองบางคนอาจไม่แน่ใจถึงความรุนแรงของรูปแบบพฤติกรรมบางอย่าง และประเมินว่าสิ่งเหล่านั้นไม่น่าจะมีอันตรายและอยู่ภายในขอบเขตของการเป็นวัยรุ่น “ขี้โมโหและเคร่งเครียด” ที่ไม่มีคำนิยามที่ชัดเจน ดังที่คุณแม่คนหนึ่งจากแคนาดาอธิบาย เธอรู้สึกกังวลและไม่รู้ว่าควรจะทำใจยอมรับหรือสิ้นหวังกับพฤติกรรมเหล่านี้ “เขาไม่ค่อยพูดคุยกับฉันเหมือนกับที่เคยทำ เขาเลิกคบหาเพื่อนและใช้เวลาอยู่แต่ในห้องมากขึ้นเรื่อย ๆ” สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือน แต่สัญญาณเหล่านี้กลับถูกมองข้ามไปจนกระทั่งลูกชายของเธอเดินทางไปยังซีเรีย หลังจากนั้นไม่นานลูกชายของเธอก็เสียชีวิต

สตรีชาวไนจีเรียถือป้ายประท้วงเพื่อเรียกร้องขอให้ปล่อยตัวเด็กนักเรียนหญิงที่ถูกลักพาตัวโดยกลุ่มหัวรุนแรง โบโก ฮาราม เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 รอยเตอร์
สตรีชาวไนจีเรียถือป้ายประท้วงเพื่อเรียกร้องขอให้ปล่อยตัวเด็กนักเรียนหญิงที่ถูกลักพาตัวโดยกลุ่มหัวรุนแรง โบโก ฮาราม เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 รอยเตอร์

อะไรคือแรงขับเคลื่อนในกรณีนี้ สิ่งใดที่ผลักดันและดึงดูดเขาให้ออกห่างจากครอบครัว โดยทั่วไปแล้ว สังคมมักได้รับข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ดึงดูดและวิธีการชักจูงพวกหัวรุนแรงรุ่นใหม่มากกว่ากลไกเชิงลึกที่เป็นสาเหตุเริ่มแรกที่ทำให้เด็กคนหนึ่งกลายเป็นพวกหัวรุนแรง คำตอบอาจจะอยู่ที่สิ่งที่คุณแม่ชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่งสังเกตเห็น “ผู้สรรหาสมาชิกหัวรุนแรงทำให้เขารู้สึกว่ามีคุณค่าในตนเองซึ่งเขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาเดินทางไปยังซีเรีย”

ผู้เป็นแม่ถูกมองข้ามไป

ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยาที่อยู่เบี้องหลังการจูงใจบุคคลแต่ละคนให้ยอมรับอุดมการณ์ของพวกหัวรุนแรง แต่ทว่าบทสรุปโดยละเอียดดังกล่าวกลับไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายต่าง ๆ แนวทางการต่อต้านการก่อการร้ายโดยส่วนใหญ่ประกอบด้วยแผนกลยุทธ์ในเชิงตอบสนอง โดยอาศัยกำลังจากทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงเป็นหลักเพื่อดำเนินการซึ่งมีเป้าหมายในการลงโทษและการยับยั้ง แม้ว่าในช่วงหลัง ๆ มานี้กลยุทธ์เหล่านี้ได้มีการขยายผลมากขึ้น แต่เหตุการณ์การก่อการร้ายก็กำลังอยู่ในภาวะที่วิกฤตเพิ่มขึ้น
โดยทางทฤษฏี เราทราบกันดีถึงปัจจัยผลักดันและปัจจัยดึงดูดและสาเหตุรากฐานอื่น ๆ มากมาย แต่ทฤษฏีเหล่านี้ไม่ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในระดับของการปฏิบัติเชิงป้องกัน เหตุผลหนึ่งคือการวิจัยเรื่องการต่อต้านความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งนี้ขาดบุคคลที่มีบทบาทสำคัญไปหนึ่งคน ซึ่งก็คือผู้เป็นแม่นั่นเอง

ในฐานะกลุ่ม บรรดาผู้เป็นแม่มีข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้บุคคลหนึ่ง ๆ เสี่ยงต่ออิทธิพลการถูกชักจูงให้มีความคิดที่รุนแรงโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ของวัยรุ่นที่ได้กลายเป็นพวกหัวรุนแรง มองการเข้าสู่วัยบรรลุนิติภาวะของลูกของตนเสมือนการเดินทางผ่านความไม่แน่นอนของการเป็นวัยรุ่นและการเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้เป็นแม่จะมีความเข้าใจเชิงลึกอันมีเอกลักษณ์เกี่ยวกับการตอบสนองที่บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าใจได้

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เป็นแม่ยังอยู่ในสถานะที่เหมาะสมทางกลยุทธ์ในการทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันระหว่างอิทธิพลจากความคิดที่รุนแรงและผู้ที่เป็นเหยื่อรายต่อไปอีกด้วย แม่เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความยืดหยุ่นในช่วงปีแรก ๆ ของพัฒนาการสำหรับเด็ก อีกทั้งยังเป็นบุคคลแรกที่รับรู้และจัดการกับสัญญาณของความคับแค้นใจ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวลและการแยกตัวเอง ความสามารถทั้งสองด้านในการคาดเดาและตอบสนองต่ออิทธิพลจากความคิดที่รุนแรงนี้เองจึงทำให้แม่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในแบบจำลองการสร้างความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิผล
เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าแต่ละบุคคลนั้นได้รับอิทธิพลจากบริบททางสังคมที่ตนอยู่ นั่นคือ ความหวัง ความใฝ่ฝัน ความเดือดร้อนและการตอบสนองจะถูกกำหนดจากสิ่งแวดล้อมที่พวกตนมีการพัฒนาทางอารมณ์และทางจิตวิทยาเป็นส่วนใหญ่ หากพิจารณาตัวแปรทางสังคมและอารมณ์เหล่านี้ เราจะมองเห็นภาพที่ชัดเจนของปัจจัยร่วมกันซึ่งมักเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้ยอมรับอุดมการณ์ของพวกหัวรุนแรง ดังนั้น เราจะสามารถพัฒนาแผนกลยุทธ์เชิงป้องกันที่มุ่งเน้นได้อย่างตรงเป้าหมาย

บทความเรื่อง “การสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นเพื่อต่อต้านความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง ” ที่ตีพิมพ์ใน เดโมเครซี่แอนด์ซีเคียวริตี้ เมื่อปี พ.ศ. 2556 ได้บันทึกไว้ว่า “หากเราต้องการที่จะระบุและสนับสนุนความยืดหยุ่นในชุมชนที่อยู่ภายใต้ภัยคุกคามได้อย่างแท้จริง เราจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้จากระยะไกล เราจำเป็นต้องรับฟังและสังเกตผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ความต้องการ ทรัพยากร และประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของพวกเขา เพื่อพิจารณาโดยถ่องแท้ว่าความยืดหยุ่นมีความหมายอย่างไรสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้น”

แม่แบบการวิจัยรูปแบบใหม่

จากความเข้าใจเกี่ยวกับข้อบกพร่องของแนวทางในการต่อต้านความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้และจากสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่ องค์กรสตรีไร้พรมแดน/กลุ่มภคินีเพื่อตอบโต้ความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ ได้พัฒนาโครงการวิจัยเชิงประยุกต์เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับศักยภาพของแม่ในการปกป้องคุ้มครองเยาวชนที่มีความเสี่ยง โครงการวิจัย “มารดาเพื่อการเปลี่ยนแปลง” ขององค์กรได้ศึกษาถึงความตระหนักรู้ของแม่ในเรื่องภัยคุกคามของความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง และความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของตนที่มีต่อกระบวนการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรงและการกำจัดแนวคิดนิยมความรุนแรง

การวิจัยทำให้ได้ทราบถึงความเข้าใจเชิงจิตวิสัยของผู้เป็นแม่ในเรื่องสาเหตุ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และความเป็นจริงเกี่ยวกับความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งตามที่ตนได้รับจากประสบการณ์ภายในครอบครัว ชุมชนของตน และที่สำคัญที่สุดคือจากชีวิตของลูกของตนเอง การศึกษามุ่งเน้นไปที่ลูกชาย เนื่องจากแม้ว่าลูกสาวจะไปเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเด็กผู้ชายนั่นเอง

การวิจัย

โครงการวิจัยมีการแบ่งออกเป็นสามระยะ โดยออกแบบขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากแม่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไนจีเรีย ปากีสถาน ไอร์แลนด์เหนือ อิสราเอล และปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง จากนั้นนำข้อมูลไปวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ สำหรับระยะแรกนั้น ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการโดยละเอียดรวม 200 รายในแต่ละประเทศเพื่อให้ได้ภาพรวมของสภาพแวดล้อมทางสังคมและอารมณ์ของลูกชายซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่

คำถามต่าง ๆ ถูกแบ่งกลุ่มออกเป็นเจ็ดหัวข้อด้วยกัน ได้แก่ ภูมิหลังของครอบครัว ชีวิตของเด็ก บทบาทของแม่ในการเลี้ยงดูลูกของตน ความใกล้ชิดกับความรุนแรง ปัจจัยทางสังคม การต่อต้านความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งทั้งในลักษณะของรายบุคคลและโดยส่วนรวม และแผนกลยุทธ์สำหรับอนาคต

ในหลาย ๆ ชุมชน ความคิดสุดโต่งและความรุนแรงเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลจึงจำเป็นต้องฝ่ากำแพงทางสังคมให้ได้ ผู้หญิงบางคนลังเลใจที่จะพูดคุยในตอนแรก โดยเฉพาะแม่ของผู้ที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของพวกหัวรุนแรงแล้ว ความรู้สึกผิด ความอับอาย และความกลัวปิดกั้นพวกเขาในขั้นต้น แต่ในที่สุดก็ยอมเปิดเผยข้อมูลหลังจากที่เข้าใจว่าตนคือผู้ที่สามารถมีส่วนร่วมและเป็นพันธมิตรที่มีคุณค่า ผู้เข้าร่วมการวิจัยหลายคนแสดงความโล่งใจที่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา

มารดาชาวทาจิกสนทนากันถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับลูก ๆ ของตน และความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง ในการเริ่มก่อตั้งโรงเรียนสำหรับมารดาที่เมืองคูจานด์ ประเทศทาจิกิสถาน เมื่อปี พ.ศ. 2554 ดร.อูลริช โครพียูนิกก์
มารดาชาวทาจิกสนทนากันถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับลูก ๆ ของตน และความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง ในการเริ่มก่อตั้งโรงเรียนสำหรับมารดาที่เมืองคูจานด์ ประเทศทาจิกิสถาน เมื่อปี พ.ศ. 2554
ดร.อูลริช โครพียูนิกก์

จากการสัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้เกิดประเด็นหลักขึ้นหลายหัวข้อ ซึ่งได้ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาแบบสอบถามและได้มีการสำรวจในสามประเด็นหลัก ได้แก่ สิ่งที่แม่มองว่าเป็นบทบาทของตนเองในการลดความน่าดึงดูดใจของแนวคิดนิยมความรุนแรง พวกเขาจะหันหน้าไปพึ่งพาใครในสถานการณ์ที่รู้สึกสับสน กลัว และรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถรับรู้และตอบสนองต่อสัญญาณเตือนของการมีแนวคิดนิยมความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิผล

ทีมผู้สัมภาษณ์ได้มุ่งความสนใจไปที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยมากกว่า 1,000 ราย หรือประมาณ 200 คนในแต่ละประเทศที่ตอบแบบสอบถาม แบบสอบถามนี้ใช้มาตรวัดของลิเคิร์ทในการประเมินระดับความเห็นด้วยสำหรับข้อความและคำถาม 43 รายการ อีกสามหัวข้อที่มีการศึกษา ได้แก่ แหล่งที่มาของอิทธิพลจากพวกหัวรุนแรงคืออะไร แม่ไว้วางใจใคร แม่ต้องการอะไร

ผลการวิจัย

โดยรวมแล้วได้เกิดความคิดเห็นที่ตรงกันเกี่ยวกับความตระหนักรู้ในเรื่องบทบาทของแม่ในการต่อต้านอิทธิพลของความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการสำรวจได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความวิตกกังวลของแม่เกี่ยวกับความเสี่ยงที่ลูกของตนจะกลายเป็นพวกหัวรุนแรง

ผู้เป็นแม่ส่วนใหญ่แสดงความมั่นใจในความสามารถของตนเองในการป้องกันลูกของตนจากการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งได้ตั้งแต่ต้น และรับรู้ถึงสัญญาณเตือนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในการสัมภาษณ์หลายกรณี ผู้เป็นแม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเร่งด่วนและความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือกับแม่คนอื่น ๆ ที่มีความกังวลเช่นเดียวกันเพื่อต่อสู้กับปัญหาที่เพิ่มขึ้นในการสรรหาคนหัวรุนแรงรุ่นใหม่

ความกลัวของแม่

ผู้เป็นแม่เชื่อว่าวาระต่าง ๆ ของกลุ่มหัวรุนแรงได้ถูกเผยแพร่โดยหลักผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผู้นำทางศาสนาที่เป็นพวกหัวรุนแรง องค์กรทางการเมืองและโทรทัศน์ แหล่งที่มาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจ แต่ภาพรวมที่เกิดขึ้นทำให้มีค่าควรแก่การพิจารณา แหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งสี่นี้ได้รับการให้ความสำคัญเกือบเท่าเทียมกัน โดยระบุว่าในแต่ละวันตามปกตินั้น เยาวชนต้องเผชิญหน้ากับข้อความที่แสดงความคิดรุนแรงจากหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่าง ๆ อินเทอร์เน็ต โรงเรียน และเครือข่ายสังคม

ความครอบคลุมของแหล่งที่มาเหล่านี้ระบุว่าบางชุมชนมีพื้นที่ซึ่งมีการปกป้องคุ้มครองน้อยมาก ทำให้เยาวชนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงสูง ดังนั้นการแพร่กระจายของข้อความของพวกหัวรุนแรงตามที่รายงานโดยแม่ที่เข้าร่วมการวิจัย จึงเป็นข้อสนับสนุนที่แข็งแกร่งในการนำเอาแนววิธีด้านการสร้างความมั่นคงมาปฏิบัติใช้ โดยมุ่งเน้นที่การสร้างความยืดหยุ่นภายในและรอบ ๆ บ้านที่อยู่อาศัย

นอกเหนือจากนี้ ข้อมูลนี้ยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลนี้ซึ่งเก็บรวบรวมภายในบริเวณพื้นที่ส่วนตัว จึงเป็นสิ่งที่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถเข้าถึงได้โดยหน่วยงานผู้มีอำนาจในท้องถิ่น หน่วยงานข่าวกรอง และผู้มีบทบาทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการวิจัยเรื่องการก่อการร้าย จากสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่ มุมมองของแม่เกี่ยวกับแหล่งที่มาขั้นต้นของอิทธิพลจากพวกหัวรุนแรงจึงมีแนวโน้มที่จะมีความถูกต้องมากที่สุด

ตามที่นักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายได้ให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง การได้เห็นภาพที่ชัดเจนของจุดเริ่มต้นของการมีความคิดสุดโต่งนั้นมีความหมายที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรงจากแหล่งกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิผล ความเข้าใจเชิงลึกของแม่จะช่วยชี้ให้เห็นรายละเอียดที่ซับซ้อนในเรื่องนี้ได้มากที่สุด

ความไว้วางใจของแม่

ผู้เป็นแม่จะหันหน้าไปพึ่งพาใครเมื่อพวกเขามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของลูกของตน บุคคลหรือสถาบันใดที่แม่ไว้วางใจในการขอความช่วยเหลือ คำตอบหลักคือ แม่คนอื่น ๆ ในอัตราร้อยละ 94 พ่อเป็นคำตอบในลำดับถัดไปอยู่ที่ร้อยละ 91 ตามมาด้วยญาติคนอื่น ๆ ที่ร้อยละ 81

ในเหตุการณ์วิกฤต คนในครอบครัวเป็นแหล่งแรกที่เป็นผู้ให้การสนับสนุน ครูได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับที่สี่ในคะแนนด้านความไว้วางใจโดยได้รับคะแนนร้อยละ 79 และองค์กรในชุมชนเป็นสถาบันแรกที่แม่จะหันหน้าไปพึ่งพาที่อยู่นอกเครือข่ายทางสังคมที่ใกล้ชิดกับตนโดยได้รับคะแนนร้อยละ 61 ผู้นำทางศาสนาได้รับคะแนนด้านความไว้วางใจร้อยละ 58 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคลือบแคลงใจในระดับหนึ่ง

องค์กรภาครัฐเป็นแหล่งที่ได้รับคะแนนด้านความไว้วางใจต่ำที่สุด โดยตำรวจได้รับร้อยละ 39 ทหารได้รับรัอยละ 35 และรัฐบาลท้องถิ่นได้รับร้อยละ 34 องค์กรนานาชาติได้รับคะแนนด้านความไว้วางใจต่ำเช่นเดียวกันที่ร้อยละ 36 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลแห่งชาติได้รับคะแนนด้านความไว้วางใจโดยรวมต่ำที่สุดที่ร้อยละ 29

ข้อมูลชิ้นที่มีความสำคัญมากที่สุดซึ่งสนับสนุนโดยหลักฐานอื่น ๆ จากการวิจัยคือ ผู้เป็นแม่เชื่อใจตนเองและไว้วางใจแม่คนอื่น ๆ เป็นอันดับแรกในการปกป้องคุ้มครองลูกของตน นี่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเพราะแนวทางด้านความมั่นคงที่มีอยู่ในขณะนี้มุ่งเน้นที่การปฏิบัติภายในหน่วยงานผู้มีอำนาจในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นสองกลุ่มที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความไม่ไว้วางใจอย่างมีนัยสำคัญ

ยิ่งไปกว่านั้น การขาดความไว้วางใจในภาครัฐเป็นผลการวิจัยที่มีความสำคัญที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นถึงช่องว่างของความไว้วางใจระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเมื่อพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการหยิบยกประเด็นปัญหาขั้นพื้นฐานนี้ไว้ในบทความชื่อว่า “ภาวะซบเซาของการวิจัยว่าด้วยเรื่องการก่อการร้าย” ที่ตีพิมพ์ใน เทร์เรอริสซึม แอนด์ โพลิติเคิล ไวโอเลนซ์ ประจำปี พ.ศ. 2557 ซึ่งโต้แย้งว่ารัฐบาลและพลเมืองจากภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันในการต่อสู้กับการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรง

ด้วยเหตุนี้ ขั้นตอนสำคัญในการต่อต้านการก่อการร้ายคือการหาหนทางที่จะช่วยให้เกิดความสอดคล้องปรองดองและความไว้วางใจกันภายในชุมชน การค้นพบวิธีการดังกล่าวนี้มีแนวโน้มว่าจะมาจากผู้ที่เป็นแม่เท่านั้น

แม่ต้องการอะไร

ผู้เป็นแม่จะประเมินความต้องการของตนได้อย่างไร ความช่วยเหลือประเภทใดที่แม่จำเป็นต้องได้รับเพื่อปกป้องคุ้มครองลูก ๆ จากลัทธินิยมความรุนแรง ประการแรก ข้อมูลที่ได้รับแสดงถึงความวิตกกังวลอย่างมากในเรื่องการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรง ประเด็นนี้เกิดขึ้นในระหว่างการสัมภาษณ์และการดำเนินการสำรวจ จากรายการความต้องการทั้งหมดที่แสดงให้ในการสำรวจพบว่า แม่ร้อยละ 86 มองว่าการเพิ่มความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนของการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด

สิ่งที่สำคัญรองลงมาคือการฝึกอบรมเรื่องการสร้างความมั่นใจในตนเอง ทักษะการเป็นผู้ปกครองและทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ แม่ส่วนใหญ่ยังชอบที่จะเชื่อมโยงกับแม่คนอื่น ๆ ที่มีความกังวลเช่นเดียวกันและแสดงความคิดเห็นร่วมกันเพื่อต่อต้านการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรง

ข้อมูลนี้ให้บทสรุปที่สำคัญสองประการ ประการแรกคือ ผู้เป็นแม่มีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองในด้านการสร้างความมั่นคง หากได้รับเครื่องมือและความรู้ที่เหมาะสม ประการที่สอง การตระหนักรู้ถึงความต้องการของตนแสดงให้เห็นว่าแม่กำลังเผชิญหน้ากับอิทธิพลของความรุนแรงอยู่แล้ว และรู้สึกว่าตนตอบสนองได้อย่างไร้ประสิทธิผล

โดยรวมแล้ว ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการหาแนวทางที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย นั่นคือ แนวทางที่ผนวกรวมความเชี่ยวชาญและสถานะที่เหมาะสมทางกลยุทธ์ของแม่ การนำเอาความคิดเห็นและความสามารถของแม่มารวมอยู่ในแม่แบบเชิงป้องกันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อพัฒนาแผนกลยุทธ์และความร่วมมือใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม แม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับว่า เป็นพันธมิตรหลัก หากพวกเขาถูกมองข้าม จุดของการเข้าแทรกแซงที่มีค่ามากที่สุดนี้ก็จะถูกมองข้ามไปด้วยเช่นกัน ช่องว่างภายในแม่แบบด้านความมั่นคงที่มีอยู่ในขณะนี้ จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนเกี่ยวข้องและมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นของผู้เป็นแม่ เพื่อการแก้ไขปัญหาการสรรหาสมาชิกใหม่จากต้นเหตุ

จากบทสรุปที่สำคัญเหล่านี้ ระยะสุดท้ายของการวิจัยเรื่อง “มารดาเพื่อการเปลี่ยนแปลง” จึงเป็นการนำเอาความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้และพัฒนาแม่แบบที่มีความครอบคลุมในการแก้ไขปัญหาความจำเป็นที่สำคัญมากที่สุดตามความคิดเห็นของแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการวิจัยได้ระบุว่าแม่มีศักยภาพอย่างมีนัยสำคัญที่ไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรในการต่อต้านความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง และยังจำเป็นต้องได้การสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงเพื่อช่วยให้แม่บรรลุความสามารถสูงสุด

แม่แบบโรงเรียนฝึกอบรมมารดา

ด้วยข้อมูลนี้ สตรีไร้พรมแดนได้สร้างสรรค์แม่แบบโรงเรียนฝึกอบรมมารดาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้และเพิ่มความยืดหยุ่นของชุมชนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางของบ้าน

แม่แบบโรงเรียนฝึกอบรมมารดามุ่งที่จะให้แม่เป็นพันธมิตรที่ฝังลึกในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคง และฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ให้แก่แม่เพื่อสร้างรากฐานที่มีประสิทธิภาพสำหรับความยืดหยุ่นภายในชุมชน แม่แบบนี้มุ่งเป้าไปที่การสร้างประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วแต่ไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ และโดยเนื้อแท้แล้วจะเป็นการใช้แนวทางปฏิบัติในระดับรากหญ้า หลักสูตรต่าง ๆ ซึ่งนำเสนอโดยพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจของชุมชน ได้แก่ แบบฝึกหัดที่เฉพาะเจาะจงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสนทนา การแลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้หลักการสะท้อนการคิดเชิงวิจารณ์โดยอาศัยเทคนิคที่อยู่บนพื้นฐานของบริบทที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้เข้าร่วมหลักสูตร แม่แบบนี้เป็นการสร้างสรรค์พื้นที่อย่างเป็นทางการเพื่อให้แม่สามารถพัฒนาความรู้ของตนในการสังเกตสัญญาณเตือนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และกำหนดกลยุทธ์เพื่อทำหน้าที่เป็นกำแพงขวางกั้นอิทธิพลจากความคิดที่รุนแรงได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อนำมารวมกันก็จะสามารถทลายกำแพงทางสังคมและสนทนาได้อย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความต่อสู้ดิ้นรนของลูกรวมถึงของผู้เป็นแม่เอง

สตรีพลัดถิ่นชาวอิรักซึ่งถูกพวกญิฮาดบีบบังคับให้ออกจากบ้าน เดินอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยฮาร์แชมทางตะวันตกของเมืองเออร์บิลพร้อมกับลูกชายของเธอเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เอเอฟพี/เก็ตตี้อิมเมจ
สตรีพลัดถิ่นชาวอิรักซึ่งถูกพวกญิฮาดบีบบังคับให้ออกจากบ้าน เดินอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยฮาร์แชมทางตะวันตกของเมืองเออร์บิลพร้อมกับลูกชายของเธอเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เอเอฟพี/เก็ตตี้อิมเมจ

โรงเรียนฝึกอบรมมารดาเป็นโครงการนำร่องในอินโดนีเซีย แคชเมียร์ ไนจีเรีย ปากีสถาน ทาจิกิสถานและแซนซิบาร์ ผลการประเมินแสดงว่าผู้คนได้ให้การยอมรับโครงการดังกล่าว บรรดาผู้เป็นแม่รายงานว่า การเข้าร่วมในโรงเรียนฝึกอบรมมารดาร่วมกับผู้หญิงที่มีความวิตกกังวลคล้าย ๆ กันสร้างความมั่นใจในตัวเองให้แก่พวกเขา พัฒนาทักษะการเป็นผู้ปกครอง และทำให้แม่ได้รับความเชื่อถือมากขึ้นภายในบ้านและชุมชนของตน

ผู้เข้าร่วมหลักสูตรที่โรงเรียนฝึกอบรมมารดาจากแคชเมียร์คนหนึ่งระบุว่า “พวกเราคิดมาโดยตลอดว่าการสนทนาในลักษณะนี้จะสามารถทำได้เฉพาะในหมู่ผู้มีการศึกษาและพวกอภิชนจากสังคมชั้นสูงเท่านั้น แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้ทำการสำรวจ เราเชื่อว่าเรามีทักษะนี้อยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้นำออกมาใช้ เราเชื่อว่าเราสามารถเป็นเพื่อนที่ดีกับลูกของเราได้ และช่วยในการจัดการกับความช่วยเหลือใด ๆ ก็ตาม เพื่อที่ลูก ๆ จะได้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องออกไปมองหาทางเลือกอื่นใดที่ใช้ความรุนแรง”

ผลการวิจัยจากโครงการนำร่องยังระบุอีกด้วยว่า หลักสูตรของโรงเรียนฝึกอบรมมารดาช่วยให้แม่ได้รับข้อมูลมากมายและทักษะที่ตรงตามเป้าหมาย ทำให้มีการเตรียมพร้อมที่ดีขึ้นในการระบุและตอบสนองต่ออิทธิพลจากความคิดที่รุนแรง

หลักสูตรของโรงเรียนฝึกอบรมมารดา

องค์ประกอบที่เป็นศูนย์กลางของหลักสูตรคือ การสร้างเสริมความมั่นใจและคุณค่าในตนเอง การเพิ่มพูนความรู้และการสะท้อนคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและเด็ก และการจัดฝึกอบรมที่เฉพาะเจาะจงในการต่อต้านการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรง หลักสูตรดังกล่าวประกอบด้วย 10 บทเรียนโดยแบ่งเป็นสามช่วง ซึ่งจะชี้แนะผู้เข้าร่วมตลอดกระบวนการของการสร้างความตระหนักรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วงต่าง ๆ เหล่านี้จะคืบหน้าไปตามลำดับจากการสำรวจตัวเอง ครอบครัวไปจนถึงชุมชน และจากนั้นจะเป็นการศึกษาบทบาทของตนในการสร้างความมั่นคง

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการสี่ครั้งแรกมีเป้าหมายในการร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและไม่อึดอัดเพื่อที่จะสามารถทลายกำแพงที่ขวางกั้นและสนทนากันได้อย่างมีประสิทธิผล แบบฝึกหัดต่าง ๆ จะชี้นำผู้เข้าร่วมในการสะท้อนคิดเชิงวิจารณ์เกี่ยวกับตนเอง รวมถึงการระบุถึงจุดแข็งและจุดอ่อน และทำการวิเคราะห์ชุมชนที่ตนอาศัยอยู่และบทบาทของตนภายในชุมชน

ผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมหลักสูตรของโรงเรียนฝึกอบรมมารดาแสดงว่า การสัมมนาเชิงปฏิบัติการสามารถตอบสนองความต้องการของแม่ ดังที่แม่คนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคุณเป็นกำลังใจให้กับใครสักคนที่นี่หลังจากที่ได้เล่าเรื่องราวน่าเศร้าของเธอหรือเกี่ยวกับปัญหาในชีวิต เพียงแค่คำให้กำลังใจก็สามารถทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งได้ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว รู้สึกว่าได้รับการยอมรับ”

ช่วงเวลาวิกฤตของการเป็นวัยรุ่นนั้นเป็นโอกาสเพียงสั้น ๆ สำหรับผู้มีบทบาทสำคัญสองคน ผู้สรรหาสมาชิกหัวรุนแรงดึงดูดใจวัยรุ่นที่รู้สึกไม่พอใจในช่วงเวลานี้ซึ่งมีความเปราะบางมากขึ้นด้วยคำสัญญาในเรื่องเกียรติยศ ชุมชน และสวรรค์ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเช่นกันสำหรับแม่ที่จะปลูกฝังคำพูดเพื่อต่อต้านสิ่งจูงใจและเสนอทางเลือกที่เป็นไปในทางบวก

ในช่วงต่อไปจะคืบหน้าจากการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นไปสู่การเน้นการฝึกอบรมทักษะที่ตรงตามเป้าหมาย โดยในขั้นแรก หลักสูตรมีวัตถุประสงค์ที่จะเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเป็นผู้ปกครอง และมุ่งเน้นความสนใจไปที่การศึกษาและการวิเคราะห์ตามหลักทฤษฎีและความเป็นจริงทางสังคมและการเมืองของชุมชนที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างเช่น แม่คนหนึ่งอธิบายถึงวิธีที่เธอนำเอาความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ที่บ้าน “เรามีความเชื่อทั่วไปว่า ต้องไม่ให้ความสำคัญมากนักกับลูกหรือรับฟังลูกทุกครั้งไป แต่เราควรเข้มงวดเพื่อให้ลูกเกรงกลัวและเคารพ แต่ในชั้นเรียนนี้ทำให้ฉันได้รู้ว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย มันเป็นเพียงแนวความคิดเท่านั้น และเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องรับรู้ปัญหาของลูกของเรา” แม่อีกคนหนึ่งกล่าวย้ำว่า “แทนที่จะใช้ปัญหาเป็นข้ออ้าง เราควรที่จะพัฒนาวิธีการคิดในเชิงบวกด้วยเช่นกัน เพื่อที่ลูก ๆ จะไม่ต้องแบกรับภาระและรู้สึกซึมเศร้าเพราะเรา”

ช่วงสุดท้ายจะมุ่งความสนใจไปที่วิธีการสร้างและเน้นย้ำความยืดหยุ่นภายในบ้านอย่างต่อเนื่อง แม่จะได้รับคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการรับรู้และตอบสนองต่อสัญญาณเตือนของการถูกปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรงตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงคำแนะนำถึงบทบาทของอินเทอร์เน็ตในการแพร่กระจายข้อความของพวกหัวรุนแรง รวมทั้งวิธีการให้พ่อมีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง ในตอนท้ายของช่วงนี้ แม่จะมีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามของแนวคิดนิยมความรุนแรงที่มีต่อลูกของตน และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงบทบาทของตนเอง อีกทั้งยังมีชุดเครื่องมือในการวางแผนกลยุทธ์อีกมากมาย

การดำเนินการขั้นต่อไป

ตามข้อมูลที่ได้รับจากผลการวิจัย แม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าแทรกแซงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงก่อนการใช้ความรุนแรง แม่เป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าไม่เพียงเกี่ยวกับเรื่องที่สลับซับซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคมและอารมณ์ของเยาวชนเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนเลนส์สะท้อนอีกด้วย แม่ของเยาวชนที่กลายเป็นพวกหัวรุนแรงให้มุมมองที่เด่นชัดที่สุดในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติใหม่ด้านความมั่นคง แม่คือสายใยตามธรรมชาติของเยาวชนที่แต่ละคนอาจแตกต่างกันไปในด้านภูมิหลัง ศาสนา และความเกี่ยวข้องทางการเมือง การที่แม่เป็นตัวเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูก แม่จะมีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ในการปะติดปะต่อส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าด้วยกัน

เพื่อเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลหลักนี้ สตรีไร้พรมแดนได้ทำการรวมกลุ่มแม่จากยุโรปและแคนาดาเพื่อแบ่งปันความเข้าใจเชิงลึกร่วมกันเกี่ยวกับกระบวนการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรงให้กับลูกของตน ซึ่งเด็กเหล่านี้ทุกคนต่างได้ออกเดินทางไปยังซีเรีย จากการแบ่งปันประสบการณ์ของแม่เหล่านี้ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านความมั่นคงในการประชุมเพื่อกำหนดกลยุทธ์ ผู้เป็นแม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคลิกภาพ การต่อสู้ดิ้นรน และการเปลี่ยนแปลงของลูกที่สังเกตเห็นได้ในช่วงเริ่มต้นของกระบวนการปลูกฝังแนวคิดนิยมความรุนแรง ตามคำอธิบายของแม่คนหนึ่งซึ่งลูกชายของเธอได้เสียชีวิตในซีเรียเมื่อปี พ.ศ. 2555 ผู้สรรหาสมาชิกหัวรุนแรง “ทำให้เด็ก ๆ หลงผิดด้วยการบอกกับพวกเขาว่าได้รับการคัดเลือก พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกเลือก แนวคิดเหล่านี้ทำให้เด็ก ๆ เชื่อว่าพระอัลเลาะห์จะคุ้มครองดูแลพวกเขา” แม่อีกคนหนึ่งร่วมแสดงความคิดเห็นว่า “ลูกชายของฉันเป็นเด็กที่ขาดวุฒิภาวะอย่างมาก เขาไม่มีข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับศาสนา และไม่มีมุมมองในเชิงปัญญาที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำถามทางศาสนา นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นพวกหัวรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว” แม่เหล่านี้สามารถนำเสนอข้อมูลให้แก่เจ้าหน้าที่ของภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย ที่ปรึกษา นักการศึกษา และผู้สื่อข่าว ถึงวิธีการที่ลูกของตนถูกชักจูงและอะไรที่เป็นสัญญาณเตือนเมื่อมองย้อนกลับไป

ตัวอย่างเช่น แม่คนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การดื่มไวน์สักขวดระหว่างมื้ออาหารเย็นกลายเป็นปัญหาขึ้นมาในทันที จากนั้นเราไม่สามารถชวนเพื่อนมาหาที่บ้านได้เพราะลูกเกิดความกังวัลเกี่ยวกับการแต่งกายของคนพวกนั้น” แม่อีกคนหนึ่งกล่าวถึงลูกสาวของเธอว่า “เธอเอาบัตรเลือกตั้งไปซ่อนตอนที่มันถูกส่งมาทางไปรษณีย์ เธอเริ่มที่จะวิพากษ์วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตย”

เมื่อย้อนคิดอีกครั้ง สัญญาณเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับอิทธิพลใหม่ ๆ ที่ลูกของตนได้รับมา แต่บรรดาผู้เป็นแม่ก็ได้อธิบายว่าความกลัว ความสับสน และแม้กระทั่งความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ทำให้พวกตนไม่สามารถเข้าใจถึงความร้ายแรงได้ในตอนนั้น ที่สำคัญที่สุด ผู้เป็นแม่รู้สึกว่าตนไม่ได้รับการสนับสนุนที่อาจจะสามารถช่วยชีวิตลูกได้ “ฉันปิดบังความกังวลไว้ไม่ให้ใครรู้ ฉันกลัวเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ถ้าฉันรู้ว่าสามารถหันหน้าไปพึ่งใครได้ บางทีฉันอาจจะสามารถหยุดเขาไว้ได้” แม่อีกคนหนึ่งกล่าว

ส่วนแม่อีกคนได้บอกว่า หน่วยงานที่มีอำนาจไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความวิตกกังวลของเธอเมื่อเธอพยายามที่จะเตือนพวกเขาว่า ลูกสาวของเธอกำลังพยายามเดินทางไปยังซีเรีย “ในฝรั่งเศส หน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีการติดต่อกับผู้ปกครอง พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น เราต่างทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกันจากพื้นที่ต่าง ๆ แต่ไม่สามารถสร้างความคืบหน้าใด ๆ ได้”

สืบเนื่องจากการประชุมครั้งนี้ แนวทางแก้ไขที่ชัดเจนจึงได้ถูกกำหนดขึ้น ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงการสื่อสารและความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในท้องถิ่นและครอบครัว และมีการขยายบริการให้คำปรึกษาและกระบวนการอ้างอิงกรณีต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา กลยุทธ์เหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะมีประสิทธิผลและคุ้มทุนมากที่สุด

ผลตอบรับเชิงบวกจากการประชุมที่ได้รับจากเหล่าผู้เป็นแม่และรัฐบาลและตัวแทนจากชุมชน เป็นสิ่งที่สนับสนุนความจำเป็นในการสำรวจหาหนทางในการรวมเอาความเข้าใจเชิงลึกของแม่ไว้ในการสนทนาหารือด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านความมั่นคงไม่เพียงแต่พบว่าการประชุมนี้สามารถให้ข้อมูลที่หาจากที่อื่นไม่ได้ แต่แม่ยังกลับไปยังบ้านของตนด้วยความรู้สึกมีแรงบันดาลใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือครอบครัวอื่น ๆ ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง

ก้าวต่อไป

การปิดช่องโหว่ด้านข้อมูลถือเป็นก้าวแรกในการวางโครงสร้างด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้สามารถทำได้โดยส่วนใหญ่ด้วยการรวมเอาความเข้าใจเชิงลึกของแม่ในช่วงก่อนการถูกชักจูงให้ใช้ความรุนแรง ตามด้วยการพัฒนากลยุทธ์เชิงป้องกันต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่น่ากังวลในขั้นต้น และให้แม่เป็นบุคคลหลักในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติใช้

การช่วยเหลือแม่โดยการสร้างเสริมความสามารถเป็นองค์ประกอบสำคัญในแนวทางปฏิบัติแบบล่างสู่บนนี้ อย่างไรก็ตาม ในการที่จะให้การเสริมกำลังในขั้นต้นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการขัดขวางความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งได้ ผู้เป็นแม่ต้องได้รับการสนับสนุนภายในสังคมภาคพลเรือน

บทสรุป

แม่คือผู้ที่อยู่ในแนวหน้า สถานะของแม่มีความสำคัญมากยิ่งกว่าหน่วยงานผู้มีอำนาจในท้องถิ่นที่ได้รับมอบหมายภารกิจให้ตอบสนองต่อความอยุติธรรมแทนที่จะเป็นการป้องกัน เนื่องจากสังคมในทั่วโลกยังขาดความสามารถในการกำจัดต้นเหตุมากมายและแหล่งที่มาของข้อความเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง ทางเลือกเดียวของเราคือการสร้างความยืดหยุ่นขึ้นจากภายใน

การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพลังด้านอารมณ์จากภายในซึ่งทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อการถูกชักจูงให้หลงเชื่อในอุดมการณ์ของพวกหัวรุนแรง เช่น ความโกรธ ความขุ่นเคือง การยอมจำนน หรือการขาดเป้าหมายและการขาดพวกพ้อง จำเป็นต้องใช้การให้ความสนใจเป็นรายบุคคลและการสนับสนุนจากผู้ที่ไว้วางใจได้และพร้อมที่จะช่วยเหลือ ความรุนแรงจากความคิดสุดโต่งซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นอาการอย่างหนึ่งของความบกพร่องทางอารมณ์ โดยธรรมชาติแล้วจะอยู่นอกเหนือขอบเขตของรัฐบาลและหน่วยงานผู้มีอำนาจในท้องถิ่น อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของสังคมภาคพลเรือน

แม่คือจุดศูนย์กลางของบ้าน แม่เป็นคนแรกที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวลูก เช่น ความโกรธ ความกระวนกระวาย และการแยกตัวตามลำพัง แม่มีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ในการเข้าถึงและเชื่อมโยงกับลูกของตนได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดช่วงเวลาที่เด็กเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นกับโลกภายนอก แม่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตในสังคม

การมุ่งเป้าไปที่ศักยภาพในเชิงป้องกันของแม่และการสร้างกลไกเพื่อเสริมความสามารถให้กับแม่ในฐานะเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงถือเป็นส่วนที่จำเป็นอย่างแท้จริงในโครงสร้างด้านความมั่นคงที่มีประสิทธิผลและคุ้มทุน สิ่งนี้เป็นเรื่องยากและสมควรที่จะได้รับการยกย่องและการสนับสนุน โดยรวมแล้วไม่เพียงแต่แม่เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด แต่โลกโดยรวมก็จะได้รับประโยชน์จากความพยายามนี้ด้วยเช่นกัน.

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button